บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวฉงชิ่ง เฉิงตู วันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2566


ออกเดินทางจากบ้านตอนตีสาม เพื่อเดินทางไปที่ฉงชิ่ง ประเทศจีน ซึ่งครั้งนี้ เป็นการเดินทางออกนอกประเทศในรอบ 4 ปี หลังจากโควิด-19
ออกเดินทางจากประเทศไทย เวลาประมาณ 6.30 น. ถึงเวลาประมาณ 10.30 น.
ที่สนามบินฉงชิ่ง ได้รู้จักกับน้องคนไทยที่เรียนจบจากม.ในฉงชิ่ง และมาเที่ยว เพราะตอนเรียน ๆ ออนไลน์ ส่วนน้องอีกคนจะแวะไปที่กุ้ยหยางใกล้ ๆ ฉงชิ่งก่อน
ที่สนามบินเห็นป้ายสถานีรถไฟความเร็วสูง เลยแวะไปซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงทั้งทริป เจ้าหน้าที่บริการดีมาก ถือว่าโชคดีที่ไม่ต้องไปซื้อที่สถานีรถไฟ และถือเป็นการวางแผนการณ์ที่ถูกต้องมาก ๆ เพราะการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง ต้องวางแผนซื้อตั๋วล่วงหน้าก่อนอย่างน้อยครึ่งวัน ไม่เช่นนั้น จะเหมือนเราตอนที่ไปลงที่เทียนจิน แล้วไม่ได้วางแผนซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงไว้ก่อน กว่าจะได้ตั๋ว และถึงที่ปักกิ่ง จากที่คิดว่า 30 นาทีก็ถึง แต่เพราะตั๋วหมด จากที่วางแผนว่าจะถึง 1 ทุ่ม ปรากฎว่าถึงปักกิ่งตีสอง
จึงเป็นทริคว่า ถ้าท่องเที่ยวจีนแล้ววางแผนซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง และไปรอล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมง การเดินทางจะลุล่วงดีมาก ดังนั้นการท่องเที่ยวจึน เหมาะกับคนที่วางแผนดี ๆ เพราะคนเยอะ และตั๋วรถไฟอาจหมดได้
พอซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงครบถ้วนแล้ว เราจึงเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่อยู่แถวเจียฟางเป่ย
ถึงโรงแรมประมาณบ่าย ๆ และวางแผนว่าพอวางสัมภาระเรียบร้อยก็จะไปเดินหาข้าวกลางวันกันต่อที่ถนนอาหารอร่อยปาอี
แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เมื่อถึงที่พัก ก็เหนื่อย จนนอนพักไป 1 ตื่น ได้แต่กินขนมปังที่เตรียมไว้ให้คลายหิว
ตกเย็นตอนแรกกะว่าจะนัดน้องที่รู้จักกันที่อยู่ฉงชิ่งอยู่แล้ว ว่าจะไปเดินแถว ๆ หงหยาต้ง สัญลักษณ์ของเมืองฉงชิ่งเสีบหน่อย แต่ปรากฎว่า เราเปลี่ยนใจ นัดน้องมาหาอะไรกินแถว ถนนอาหารอร่อยปาอี แทน ซึ่งตอนแรกก็กะว่าจะหาของกินแถวนั้น
แต่สุดท้ายเมื่อเจอน้องแล้ว ก็ตกลงกันว่าจะไปกินหม้อไฟกัน
น้องจึงพาเราไปกินร้านหม้อไฟชื่อดังที่หนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ขนาดว่าจะต้องรอคิว อยู่ประมาณครึ่งชม.ถึงได้กิน แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาคอยที่ได้ถามสารทุกข์สุกดิบ กับน้องนักเรียนที่เรียนในฉงชิ่งพอดี
สิ่งที่ได้ความมาคือที่จีนเรียนหนักบางครั้งกว่าจะเลิกเรียนก็สี่ห้าทุ่ม เพื่อนที่เรียนด้วยกัน สังคมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงของประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้ และคนไทยด้วยกัน แต่ไม่สนิทกับเพื่อนนักเรียนคนจีน ที่ส่วนใหญ่จะมีวิธีเรียนด้วยตัวเอง เข้าห้องสมุดบ่อย แต่ไม่ค่อยมาเข้าเรียน เน้นมาสอบเลยมากกว่า
ส่วนที่เราถามว่าฉงชิ่ง มีอะไรดี ในมุมมองของน้อง จีนถึงได้ยกเป็นมหานคร ซึ่งคำถามนี้ได้คำตอบไม่ชัดเจน แต่น้องมองว่า จีนต้องการผลักดันฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันตก ให้พัฒนาขึ้น
ถึงเวลาร้านหม้อไฟเรียกคิว จึงเข้าไปคุยต่อด้านใน
ร้านหม้อไฟที่จีน มีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือ สั่งอาหารผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดที่ติดบนโต๊ะ และเลือกเมนูที่จอมือถือ เลือกน้ำซุป อาหารสด ที่ต้องการแล้วกดสั่งอาหาร
ส่วนข้าว เครื่องเคียงต่าง ๆ ฟรี
น้ำจิ้มเสียเงินแยกต่างหาก
บริการอาหารร้านนี้ดี มีหมวกคลุมศรีษะ ยางรัดผมสำหรับหญิงสาว มีตระกร้าผ้าสำหรับใส่เสื้อหนาว เพราะในร้านมีเครื่องทำความอุ่น
หม้อไฟฉงชิ่งในคืนวันแรกของการได้มาที่ฉงชิ่ง ทำให้เราได้คลายหิว เมื่อน้ำซุปที่ต้มจนเดือด ก็ใส่เนื้อ และผัก ครั้งนี้ได้ลองชิมผักท้องถิ่น และน้ำซุปหมาล่า จากถิ่นต้นกำเนิด
ได้ฟังจากน้องว่า ที่นี่ไม่ซดน้ำซุปกัน หากต้มน้ำซุปจนงวดแล้วก็จะมีพนักงานมาใส่น้ำเปล่าเพิ่มให้
น้ำซุปหมาล่าเผ็ดชาปาก อร่ยหรือไม่แล้วแต่คนชอบ ส่วนอีกน้ำซุปคือน้ำซุปขาว กระดูกวัว ซึ่งมาทราบทีหลัง เราที่ไม่ทานเนื้อวัว จึงคิดในใจว่าไม่รู้ไม่ผิด
จบมื้ออาหาร และเดินกลับมาที่พัก ก่อนรบกวนน้องขอแลกเงินติด Alipay ไว้เสียหน่อย
แยกย้ายกันเกือบห้าทุ่ม แถว ๆ เจียฟางเปย ทราบว่า น้องมาจาก ม.ที่นั่งรถแท๊กซี่ไปประมาณครึ่ง ชม. เข้ามารอบนี้เลยขอไปเดินดูไฟต่อ ส่วนเราขอตัวกลับเข้าที่พักที่แถว เจียฟางเปย
จบวัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *