บันทึกการเดินทาง ฉงชิ่ง เฉิงตู วันที่ 6 – 28 ธันวาคม 2566

วันนี้ ถือเป็น ไฮไลท์ ของทริปเดินทาง เพราะเราจะเดินทางไปที่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 2 แห่งนั่นคือ พระใหญ่เล่อซาน หรือเล่อซาน ต้าฝอ และจะไปนอนค้างที่ ตีนเขาเอ่อเหมย

เช้านี้เราตื่นแต่เช้า รีบจัดกระเป๋า โดยแยกเสื้อผ้า เข้ากระเป๋าลากใบเล็ก ส่วนกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบ จะนำไปฝากที่เคาน์เตอร์ โรงแรมด้านล่าง

เราไปเช็คเอาท์ ตั้งแต่ฟ้ามืด และฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่โรงแรม ทางเจ้าหน้าที่ก็จะให้เอกสาร ในตอนที่จะมารับกระเป๋า โดยเราก็จะแจ้งว่า จะมารับกระเป๋าคืนในตอนวันพรุ่งนี้ ตอนกลางคืน

พอเช็คเอาท์เสร็จ ก็เดินไปที่สถานีรถไฟทงฮุ่ยเหมิน นั่งรถไปลงที่สถานีเฉิงตู ตะวันออก ซึ่งคนก็เยอะเหมือนเดิม แต่โชคดีที่เราจองตั๋วไว้แล้ว ทำให้การท่องเที่ยวรอบนี้ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง หรือเครียดเรื่องการรอเวลา

เราไปถึงก่อนเวลารถไฟออกประมาณ 1 ชั่วโมง อากาศในสถานีที่รอ ค่อนข้างหนาว แต่พอขึ้นรถไฟแล้ว ก็นั่งอย่างสบาย

ระหว่างทางเห็นความเจริญ ไปจนถึงความเป็นชนบทของเฉิงตู ไปจนถึงสถานีรถไฟเล่อซาน ซึ่งเป็นสถานีไม่ใหญ่มาก พอลงรถไฟเสร็จก็เข้าห้องน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ทางออก ซึ่งตอนออกก็ต้องใช้พาสปอร์ตสแกนออกด้วย

ตามแผนที่เราหามา จะมีศูนย์นักท่องเที่ยว อยู่ใกล้กับทางออกและใกล้ร้าน KFC แต่พอไปสถานที่จริงปรากฎว่าที่ฝากระเป๋าไม่เปิด ด้วยความที่เรายังไม่ทานอาหารเช้ามา เลยพยายามหาร้านข้าว ซึ่งได้ลองเข้าไปในสถานี ในตอนเข้าไปก็ต้องสแกนกระเป๋า เช็คพาสปอร์ต ค่อนข้างวุ่นวาย พอเข้าไปปรากฎว่าไม่มีร้านข้าวดี ๆ มีแต่ที่นั่ง ส่วนทางเข้าของสถานีรถไฟความเร็วสูง ก็มีแต่ 2 ทางเข้า เลยตัดสินใจออกจากสถานีมากิน KFC

พอจะสั่ง KFC ก็ยาก เพราะไม่มีเบอร์โทรศัพท์มือถือจีน เลยขอให้พนักงานสั่งอาหารให้ เลยได้ข้าวแกงกระหรี่ไก่ KFC  ชุดน้ำเต้าหู้ และอาหารเช้ามากิน พอกินเสร็จ ก็ยังนั่งอยู่ใน KFC อีกระยะหนึ่ง เพราะอากาศข้างนอกหนาว ฟ้ายังไม่เปิด

จริง ๆ แล้วตามที่เราหาข้อมูลมา ที่เล่อซาน จะมีสถานที่ท่องเที่ยว นอกเหนือไปจาก พระใหญ่เล่อซาน คือ ถนนอาหารอร่อยจางกงเฉียว 张公桥好吃街 ตั้งใจว่าอยากไปกินเถียนผียา หรือ หนังเปิดหวาน อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ นอกจากนี้ยังมีอาหารอร่อย ๆ ตามที่อ่านในรีวิวอีกหลายอย่าง และมารู้ทีหลังว่า บ้านของ หวังเฮ่อตี้ ดาราจีน ก็เปิดร้านอาหารอยู่ที่เล่อซาน

แต่พอถึงเวลาจริง อาจเป็นเพราะอากาศปิด และหนาว ทำให้เราไม่อยากออกจากร้านอุ่น ๆ เท่าไหร่ ก็จะสร้างกำลังใจออกจากเครื่องทำความอุ่นได้ ก็สายมากแล้ว

การเดินทางไปยังพระใหญ่เล่อซาน จากด้านหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงเล่อซาน เดินไปทางสายจะเจอสถานีรถเมล์ ให้หาทางขึ้นรถเมย์สาย K1 ซึ่งเป็นต้นสายเลย ราคาค่ารถ 2 หยวน แต่พอเราขึ้นจริง ปรากฎว่ามีแต่เงินสด 5 หยวน ซึ่งจริง ๆ เราจ่ายด้วย Alipay ได้ (แต่ตอนแรกจ่ายผิดไปเอามินิโปรแกรมของเอ่อเหมยมาจ่ายจนคนขับรถทัก) ส่วนเพื่อนเราไม่ได้เตรียม verified สำหรับ mini program จ่ายค่ารถเมล์มา สุดท้ายเพื่อความรวดเร็วเลยต้องจ่ายไป 5 หยวน

ตอนนั่งรถเมล์ ประทับใจมาก เพราะคนขับรถเมล์ เป็นผู้หญิง ขับคนเดียว จัดการคนเดียวเลย พอเราถามทาง ตอนแรกกะว่าจะไปลงที่ป้ายเล่อซานต้าฝอ แต่ถามคนขับ เขาถามเราว่าจะไปขึ้นเขา หรือจะไปนั่งเรือ เราตอบว่าไปนั่งเรือ คนขับรถจึงแนะนำให้ไปลงป้าย อูโหยวซือ หรือวัดอูโหยว ซึ่งจากที่เราดูข้อมูลมา คนจีนส่วนใหญ่ จะไปลงป้ายและขึ้นเรือที่ป้ายนี้มากกว่า

พอตอนที่เราใช้ Alipay จ่ายเงินมีปัญหา ถึงแม้ว่าเขาจะขับรถอยู่ ก็บอกช่วยเต็มที่ แต่เป็นเพราะของเพื่อนเรามีปัญหาอยู่ด้วย เราก็เลยตัดใจให้เงิน 5 หยวนไป เขาก็บอกว่าไม่มีเงินทอนนะ เราก็ตอบว่าไม่เป็นไร เขาเลยตอบขอบคุณด้วย

ส่วนคนในรถก็ช่วยบอกป้ายที่เราจะลง พอลงป้ายอูโหยวซือ ซึ่งเป็นป้ายที่ผ่านสถานที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเล่อซานต้าฝอแล้ว

นั่งรถเมล์สาย K1เกือบชม.จนผ่านป้ายเล่อซานต้าฝอ และสถานที่จอดรถ เห็นที่จอดรถทัวร์กว้างขวาง มีนักท่องเที่ยวมาอยู่พอสมควร เราประมาณได้ว่า ป้ายอูโหยวซื่อ เป็นป้ายด้านขวาขององค์พระ ต้องผ่านป้ายเล่อซานต้าโฝว และสถานที่ขึ้นเรือของนักท่องเที่ยว อ้อมไปทางขวาขององค์พระแล้ว จึงจะถึง

พอรถเมล์ผ่านป้าย ที่เห็นที่จอดรถรับส่งนักท่องเที่ยว และจากแผนที่ไป๋ตู๋ แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว ก็เตรียมลง แต่ก่อนลงก็เดินไปถามคนขับว่า ถึงแล้วนะ ยืนยันเสร็จก็เดินไปด้านหลังรถ เพราะทางขึ้นรถของรถเมล์จีนมักอยู่ด้านหน้า ส่วนประตูหลังมีไว้สำหรับลง

พอลงแล้ว เจอคู่รักที่เดินทางมารถเมล์คันเดียวกัน ก้มดูแผนที่ สอบถามได้ความว่ามาล่องเรือ ดูเล่อซานต้าฝอเหมือนกัน เลยขอให้เขาช่วยดูแผนที่นำทาง แล้วพวกเราก็เดิน ๆ ตามเขาไป

พอข้ามถนน และเดินเข้าไปหน่อยนึง ก็เจอวินสามล้อ มาทักว่าสนใจนั่งไปลงท่าเรือไหม พวกเราที่มีกระเป๋าลากใบเล็กมาด้วย จริงๆ ก็ไม่สะดวก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกหลอกไหม เลยตัดสินใจว่าจะลองเดิน ๆ เข้าไปก่อน พวกป้า ๆ ลุง ที่ขับก็ยังมาชวนว่ากระเป๋าหนักนะ นั่งสามล้อไปเถอะ แต่เราก็ไม่สนใจ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก เพราะว่า กว่าจะเดินไปก็อีกไกลพอสมควร แต่ก็พอเดินไหว

เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ แวะเข้าห้องน้ำระหว่างทาง และเดินต่อ เจอป้ายที่ประทับใจคือ ป้ายองค์พระเป็นการ์ตูน เขียนว่า ภูเขาคือองค์พระ องค์พระคือภูเขา ซึ่งประทับใจมาก

ส่วนอีกสิ่งที่ประทับใจคือ วิวระหว่างทางเดินไปทางขึ้นเรือสวยมาก เห็นสะพานและวิวหมอก เหมือนในซีรีสิจีน ดี ๆ นี่เอง แต่เห็นภาพด้วยตาตัวเอง

เมื่อเดินไปจนถึงที่ซื้อตั๋ว ต้องใช้พาสปอร์ต ในการซื้อ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะฝากกระเป๋าเล็ก ๆ ที่ลากมา แต่ไหน ๆ ก็ลากแล้ว ก็ลากต่อไปจนถึงขึ้นเรือ

เมื่อได้ตั๋วแล้ว ระหว่างทางไปขึ้นที่ท่าเรือ ต้องผ่านทางเข้าวัด และผ่านห้องน้ำ ที่น่าประทับใจคือ ห้องน้ำที่นี่ เป็นแบบพื้นบ้านมาก ๆ คือไม่มีประตู แต่เป็นที่กั้น ๆ แต่โชคดีที่ตอนที่เราเข้านั้นไม่มีคน และพูดได้ว่าเพราะไม่มีคนเลยพอสะอาดที่จะเข้าได้

พอเข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว ก็เดินไปยกมือไหว้พระ น่าจะเป็นองค์เจ้าแม่กวนอิม แต่ตัดสินใจไม่เข้าไปไหว้อย่างจริงจัง เพราะเรามีเป้าหมายมาล่องเรือไปดูเล่อซานต้าฝอมากกว่า

ท่าเรือดูแข็งแรงพอสมควร เรือก็ดูใหญ่โต ปลอดภัย มีสองชั้น พอเราขึ้นเรือ ก็หาที่วางกระเป๋า ก่อน จากนั้นพอเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่คอยดูแลคนในเรือให้ใส่ชูชีพ เราเลยวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ในเรือ เพื่อใส่ชูชีพ มารู้ทีหลังว่าเขาไม่น่าจะใช้เจ้าหน้าที่บนเรือ แต่เป็นช่างกล้อง ที่ให้บริการ (แบบเสียเงิน) ที่มาคอยให้บริการถ่ายรูปนักท่องเที่ยวกับองค์พระมากกว่า

แต่เสื้อชูชีพก็แข็งแรงดี ที่นั่งในเรือเป็นโซฟา นั่งสบาย แต่ถ้าอยากถ่ายรูปที่องค์พระจะต้องไปถ่ายรูปที่ชั้น 2 แต่ด้วยความกังวลกระเป๋าเล็กของเรา ถ้าจะแบกขึ้นชั้น 2 ก็ทุลักทุเล เลยเดินไปถามคนใส่ชูชีพให้เราว่าวางกระเป๋าได้ไหม เขาบอกว่าวางกระเป๋าได้ แต่ให้เก็บของมีค่าขึ้นไป

เราเลยเก็บของมีค่าเข้ากระเป๋า แล้วเดินขึ้นไปชั้น 2 เลือกที่ยืน ที่คิดแล้วว่าได้เห็นเล่อซานต้าโฝชัด ๆ ช่วงเวลาที่เรือล่องผ่าน องค์พระ แค่ชั่วเวลาไม่กี่นาที เห็นคนตัวเล็ก ๆ ปีนเขาไปถึงองค์พระ ซึ่งถือว่าคนไม่เยอะมาก แต่ก็คิดว่าคิดถูกเพราะคงจะแบกกระเป๋า ไปปีนเขาไม่ไหว องค์พระใหญ่มาก แต่ไม่ได้มีอารมณ์ คิดถึงความยิ่งใหญ่อย่างที่เคยอ่านมา รู้แต่ว่า เป็นเหมือนความฝันที่เป็นจริง ที่มาถึงที่ แม้ว่าวันนี้อากาศไม่ดี แต่ก็เห็นองค์พระที่ชัดเจน แถมในสถานที่จริง ไม่ได้มีแค่องค์พระใหญ่ แต่มีองค์พระอื่น ๆ อยู่ใกล้ ๆ ด้วย

เรากับเพื่อนได้แต่ถ่ายรูปรัว ๆ ในระหว่างนั้น คนที่ช่วยเราใส่ชูชีพ ก็เริ่มขอเปิดทางที่เรายืนอยู่เพื่อ ทำให้หน้าที่บริการถ่ายรูปให้คนในเรือ ตอนแรกเราก็ไม่หลีก แต่เขาบอกว่า ช่วยหน่อย เหมือนว่าคนต้องมาหากิน เราก็เลยหลบให้ ขยับมาอีกที่ แต่ก็ยังถ่ายรูปได้มุมสวย ๆ อยู่ดี

ล่องเรือไปจนผ่านองค์พระ จนเลยไปจนถึงอีกมุมหนึ่ง เห็นคนถ่ายรูปบอกว่า ถ่ายรูปกับองค์เล่อซานต้าโฝไม่ได้ ให้ถ่ายกับสุ้ยโฝ หรือพระนอนแทน ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจ จนเพื่อนชี้ให้ดูว่า เป็นมุมที่เห็นภูเขาหลายลูกด้านหลัง เป็นรูปพระนอนอยู่

จากนั้นเรือก็ทำการกลับลำ และวิ่งกลับไปทางท่าเรือ ที่เราขึ้นมา แต่ตอนขากลับ ด้วยกระแสน้ำ ทำให้วิ่งผ่านองค์พระอย่างรวดเร็วมาก จนถ่ายรูปอีกรอบแทบไม่ทัน

ลืมอีกอย่าง คือบนเรือจะมีคนนำปลาตัวเล็ก ๆ มาขาย ในราคา 99 หยวน เหมือนเลข 99 นี้ จะเป็นเลยมงคล แต่คิดเป็นเงินไทยก็เกือบห้าร้อยบาทเลย บนลำเรือของเราไม่ค่อยมีคนสนใจซื้อมากนัก

ส่วนเรานั่งเรือกลับ ตอนขากลับเรือวิ่งกลับเร็วมาก ตอนเรือกลับลำ ทำให้เราคิดถึงและเข้าใจว่า อดีตทำไมถึงมีเรือมาลมแถวนี้บ่อย เพราะกระแสน้ำค่อนข้างแรง มาก

พอนั่งเรือกลับมาถึงท่าเรือ ก็ขึ้นจากเรือ เดินกลับมาทางเดิม จนถึงที่ ๆ มีสามล้ออยู่ คราวนี้ด้วยความขี้เกียจเดินกลับเลยถามว่า นั่งออกไปปากซอย คิดเท่าไหร่ คนขับบอกว่า 10 หยวน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 50 บาท ซึ่งสำหรับเราว่าไม่แพงเลย ก็เลยตัดสินใจนั่งออกไปปากซอยจนถึงป้ายรถเมล์

คิดแล้วก็เสียใจที่ตอนมา ไม่ยอมตัดสินใจนั่งรถสามล้อ เพราะตอนแรกคิดว่าเป็นสามล้อ เห็นลุงป้า อายุมากแล้ว กลัวคนขับจะเหนื่อย ที่ไหนได้ สามล้อ เป็นระบบไฟฟ้า ป้าขับได้ไวมาก ป้าที่ขับรถให้เราก็ถามเราว่าจะกลับยังไง เราก็ตอบว่าเรากลับรถเมล์ ป้าก็เลยขับข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อไปส่งเราถึงป้ายรถเมล์

จากนั้นเราก็จ่ายเงิน 10 หยวน และขอแลกเงินเศษกับป้า เพื่อจะขึ้นรถเมล์ ป้าให้เงินเกินมาเราเลยคืนเงิน เป็นอันว่า ด้วยการที่ขึ้นรถสามล้อ ทำให้เรามีเงินสดย่อย ไปขึ้นรถเมล์ แถมเพื่อนบอกว่า การตัดสินใจขึ้นสามล้อนี้ก็ดี เพราะเหมือนเป็นการสนับสนุนชุมชนให้คนแถวนี้มีรายได้ ดังนั้น ก็แนะนำว่าใครที่ตัดสินใจไปเล่อซาน ทางท่าเรืออูโหยวซื่อ ก็ใช้บริการสามล้อของชุมชนหน่อย ราคาไม่แพงถ้าเทียบกับระยะทาง ดีกว่าเดินเยอะ

พอถึงป้ายรถเมล์แล้ว เราก็รอรถเมล์สาย K1 นั่งกลับมาที่สถานีรถไฟความเร็วสูง ใช้เวลานั่งรถกลับก็ประมาณ 1 ชั่วโมง เหมือนขามา ตอนแรกกะว่าจะชวนเพื่อนไปตลาดของกินอร่อย ชื่อว่า จางกงเฉียวเห่าชือเจีย 张公桥美食街 เพื่อไปกินเถียนผียา 甜皮鸭 หรือหนังเป็ดหวาน ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของเล่อซาน แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ย้อนกลับไปกิน KFC หน้าสถานี ด้วยความขี้เกียจเดินทาง หรือกลัวว่าจะกลับมาไม่ทันรอบเวลาที่ซื้อตั๋วไปแล้ว

คราวนี้พอเข้าไปใน KFC พนักงานก็จำเราสองคนได้ เพราะเป็นคนต่างชาติเมื่อเช้าที่ไม่มีเบอร์มือถือจีน และสั่งอาหารไม่ได้ ต้องขอให้พนักงานให้ช่วยสั่งให้ คนต่างชาติ ในสถานีแทบจะไม่มี และนักท่องเที่ยวในช่วงที่เราไปก็ถือว่ามีน้อยมาก เข้าร้าน KFC คราวนี้พนักงานก็ช่วยสั่งข้าว สั่งอาหารให้

เรากินข้าวกินอาหารเสร็จก็เข้าไปรอรถไฟความเร็วสูง ที่หน้าประตู 2 อยู่สักระยะ ที่นั่งในสถานีมีไม่เยอะ เนื่องจากเราวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ แล้วเพื่อนเราไปเข้าห้องน้ำ เลยมีตำรวจเดินมาถามว่า นี่เป็นกระเป๋าของใคร เราเลยตอบว่าเป็นของเราเอง ตำรวจเลยเดินจากไป ทำให้เรารู้ว่าระบบความปลอดภัยของที่นี่ดีมาก มีคนดูกล้องวงจรปิด และคงเห็นว่ากระเป๋าที่อยู่ข้าง ๆ เราดูน่าสงสัย เกรงว่าจะมีคนวางระเบิดไว้ เลยมาถาม (มั้ง)

นั่งรอรถไฟ จนรถไฟมา จึงนั่งรถไฟจากสถานีเล่อซาน ไปที่สถานีเอ่อเหมยซาน ซึ่งต้องผ่านสถานีเอ่อเหมยก่อน ต้องระวังว่าอย่าลงผิด

เอ่อเหมยซาน

พอถึงสถานีเ่อ่อเหมยซาน ก็เป็นเวลาช่วงเย็นแล้ว ลงจากสถานีมา ก็เห็นมีเจ้าหน้าที่คอยบริการนักท่องเที่ยวและแจกแผนที่ท่องเที่ยวเอ่อเหมยซานอยู่หลายคน สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีแต่คนมาเที่ยวเอ่อเหมยซาน

เราเดินไปขอแผนที่ที่เขาแจกอยู่จากเจ้าหน้าที่ ๆ ก็ถามว่าจองที่พักหรือยัง จะขึ้นเขาหรือพักอยู่ที่ตีนเขา เราก็บอกว่าจะพักที่ตีนเขา พรุ่งนี้ค่อยขึ้นเขา เขาก็เลยบอกทางให้ แต่เจ้าหน้าที่ ที่นี่เสียงดัง ดุอย่างกับตะโกน ตะคอกเรา ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร เดินออกจากสถานีมาด้านหน้าไม่ไกล ก็เห็นคิวแท๊กซี่ พอถึงคิวเราก็เปิดแผนที่ที่พักคืนนี้ให้แท๊กซี่ดู

บนแท๊กซี่ คนขับชวนคุยเพราะรู้ว่าไม่ใช่คนท้องถิ่น จำไม่ได้ว่าได้คุยอะไรกันบ้าง พอตอนลงจ่ายเงิน เขาก็ถามประมาณว่าไม่ใช่คนจีนใช่ไหม เราก็ตอบว่าใช่ เขาก็ถามว่าเป็นคนจากประเทศไหน เราก็เลยล้อคนขับเล่นว่า ลองเดาดู สรุปว่าเขาคิดว่าเราเป็นคนมาเลเซีย เพราะพูดภาษาจีนได้ เราเลยตอบว่าเราเป็นคนไทย เขาก็บอกไม่เชื่อ ไม่คิดว่าคนไทยจะพูดจีนได้ดี แล้วก็ชมเรา เราก็บอกว่าเราพูดได้นิดหน่อย ไม่มากนัก คิดแล้วก็อยากให้คนไทยพูดจีนได้ไปเที่ยวจีนเองเยอะ ๆ จะได้ให้คนจีนรู้ว่า คนไทยพูดจีนได้เหมือนกัน

พอถึงที่พัก ซึ่งที่พักของเราก็เป็นที่พักที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย ที่พูดไปใคร ๆ ก็น่าจะรู้จัก ซึ่งถ้านั่งรถเมล์ ก็ต้องลากกระเป๋าไปขึ้นรถเมล์ แต่ราคาค่าขึ้นถูก คือคนละ 2 หยวน แต่ถ้ามาหลายคนก็นั่งแท๊กซี่ไป รอบละ 10 หยวน

นั่งแท๊กซี่ไปไม่ไกลจากที่สถานี ก็ถึงที่พัก แต่แท๊กซี่ไม่ยอมขับเข้าไปในซอย แต่จอดที่ริมถนน ให้เราเดินเข้าไปในซอยที่พักเอง

สถาพแวดล้อมของแถว ๆ ที่พัก ถือได้ว่าเงียบมาก พอเข้าไปถึงที่พัก ก็ถามป้าที่เป็นเจ้าของโฮสเทลว่า ตอนนี้นักท่องเที่ยวเป็นยังไงบ้าง ป้าก็บอกว่าช่วงนี้ถือเป็นโลซีซั่น เพราะอากาศหนาว แต่พวกเราน่ะ คงมาช่วยหน้าหนาว มาดูหิมะสินะเพราะว่าที่เมืองไทยไม่มี ส่วนลูกชายของป้าก็เพิ่งกลับมาจากเมืองไทยเหมือนกัน

จากนั้น เราก็ขอป้าว่า ถ้าที่ที่พัก ไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก ก็ช่วยจัดห้องพักดี ๆ ให้เราหน่อย ป้าก็จัดให้เราอยู่ที่ชั่น 2 จากนั้นเราก็ถามเพื่อนที่พูดจีนไม่ได้ว่าอยากถามป้าอะไรไหม เพื่อนเราเลยฝากถามว่า เดี๋ยวจะไปกินข้าว พอมีร้านอาหารแนะนำไหม ป้าเลยแนะนำว่า เดินจากปากซอยไป ประมาณ 3-4 ร้าน พอมีร้านอร่อยอยู่

จากนั้นเราก็เดินไปที่ห้อง พักเหนื่อยได้พักหนึ่ง ก็ตกลงกับเพื่อนว่าจะออกมาสำรวจ ที่ซื้อตั๋วขึ้นเอ่อเหมยซาน และเดินซื้อของ กินข้าวเย็น

พอลงจากที่พัก เดินออกจากซอย เลี้ยวซ้าย ไปสำรวจที่ซื้อตั๋วซึ่งปิดแล้ว แต่ร้านขายของที่ระลึกตรงด้านในยังเปิดอยู่ เลยถามพนักงานขายของที่ระลึกว่า พรุ่งนี้รอบเช้าสุดของรถที่จะขึ้นเขา คือกี่โมง เขาก็บอกว่า ประมาณ 7-7.30 ครึ่ง จากนั้นเราก็เดินย้อนกลับไปทางซอยที่พัก และเดินย้อนกลับไปสำรวจร้านต่าง ๆ อากาศหนาว นักท่องเที่ยวมีน้อย มีร้านอาหารเปิดไปสว่าง มีคนมาเรียกเข้าไปกินอาหารอยู่หลายร้าน

สุดท้ายพวกเราก็ตัดสินใจเลือกร้านอาหารร้านหนึ่งที่เปิดไฟสว่าง ดูกว้างขวาง แต่ไม่ค่อยมีคน เพราะมีพนักงานผู้หญิงออกมาเรียกพวกเราที่เดินอยู่ พอเราดูเมนูแล้ว ดูน่าอร่อยดี พอเข้าไปในร้านแล้วก็สั่งกับข้าวเป็น ผัดผัก ข้าวผัด และแกงจืดเห็ดมากิน แต่ที่นี่เอาข้าวสวยมาเสิร์ฟด้วย เราก็ถามว่าฟรีไหม เขาบอกว่าไม่ฟรี เสีย 10 หยวน

สภาพห้องพัก ก็ถือว่าใหญ่พอสมควร มีน้ำร้อนให้อาบ แต่ห้องน้ำก็สะอาดไม่มากนัก ถือว่าตามสภาพ ส่วนเครื่องทำความร้อน คือปัญหา เพราะช่วยทำความอุ่น เฉพาะตรงหน้าที่เครื่อง ไม่ได้ทำให้อุ่นรอบห้อง จนเราต้องเจรจากับเพื่อนว่า เดี๋ยวเรามานอนตรงโซฟา หน้าเครื่องทำความร้อน ส่วนเพื่อนเราให้ขยับ ๆ มานอนเตียงใกล้ ๆ เครื่องทำความร้อน จะได้พอนอนได้

คืนนี้นอนหลับได้ไม่สนิทนัก เพราะอากาศหนาว และกังวลว่าจะต้องตื่นเช้าไปซื้อตั๋วขึ้นเอ่อเหมยซานให้ทัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *