บันทึกการเดินทาง ฉงชิ่ง เฉิงตู วันที่ 3 -25 ธันวาคม 2566


วันนี้ ตื่นสายเหมือนเดิม โทษอากาศไม่ดี มีฝุ่น และอากาศหนาว แต่ยังทันเวลารอบกินอาหารเช้าของโรงแรม เมื่อวานบ่นเรื่องไวไฟ แต่เช้านี้ เจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งจัดการเชื่อมต่อไวไฟให้เรียบร้อย ส่วนอาหารเช้าที่ซื้อเพิ่มราคา 25 หยวน ถือว่าอาหารได้มาตรฐานดี พนักงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับ มาช่วยเติมอาหารอย่างไม่ขาด
กินข้าวเสร็จแล้ว รับเสื้อผ้าที่ฝากซัก แล้วกลับห้องพัก เตรียมอาบน้ำแต่งตัว วันนี้มีแผนไป #เหล่าจวินต้ง ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฉงชิ่ง เป้าหมายของเราคือการขึ้นไปที่สูง ชมวิว ซึ่งจากที่ดูข้อมูลมา มีทางเลือกคือ ไป หนานซานอี้เคอซู ซึ่งตรงนั้นนิยมไปตอนกลางคืน และมีร้านหม้อไฟแถวนั้น แต่ข้อเสียคือต้องเสียค่าเข้า ส่วนอีกที่หนึ่งเป็นวัดเต๋า #ฟรีค่าเข้า จึงตัดสินใจไปเหล่าจวินต้ง ดีกว่า
การเดินทางไปเหล่าจวินต้ง เราใช้วิธีนั่งรถเมล์ แล้ววางแผนกะว่าจะไปนั่งแท๊กซี่ ขึ้นไปทางประตูตะวันตก
การเดินทางไปเหล่าจวินต้ง วันนี้ ต้องให้เครดิตเสี่ยวหงซู เช่นเดิม เราเริ่มต้นเดินไปที่ฉางเฉิงต้าซ่า กงเจียวจั้น 长城大厦公交站 แล้วนั่งรถเมล์สาย 346 ค่าเดินทางเพียง 2 หยสนต่อคน แต่ เนื่องจากเรามีเศษเงินสดเหลือน้อยมาก ต้องวางแผนดี ๆ
พอขึ้นรถเมล์แล้ว รถเมล์ก็นำพาเราขับไปทางขึ้นสะพาน ไปทางอีกฝั่งหนึ่งของฉงชิ่ง และการนั่งรถเมล์ครั้งนี้นี่เอง ที่ได้ทำให้เราได้สัมผัส เมืองแห่งภูเขา เพราะเมื่อข้ามสะพานไปทางฝั่งหนานซานแล้ว รถเมล์ก็พาเราคดเคี้ยวไปมา จนถึงป้ายที่จะลง คือป้าย ฉงเหวินลู่โข่ว
แต่พอเดินทางจริงพอลงรถเมล์ถามทาง คุณลุงแถวป้ายรถเมล์แล้วเขาบอกว่าเดินไปได้ไม่ไกล นอกจากนี้ ยังมีอาอี้อีก 2 คนมาช่วยบอกทางว่า ให้เดินเลียบไปทางซ้ายไม่ต้องข้ามถนน ไม่ไกลก็ถึง
ตอนถามทาง ถึงแม้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นสำเนียงฉงชิ่ง ที่แปร่ง ๆ อยู่ดี ถึงแม้ว่าฟังออก แต่ก็ต้องตั้งใจฟัง กว่าจะคิดออกว่าเขาต้องการสื่อว่าอะไร สรุปว่าถ้าจะไปจีน ฝึกภาษา อย่ามาแถวนี้ ควรไปปักกิ่ง หรือเซี่ยงไฮ้ สำเนียงผู่ทงฮั่ว ฟังง่ายกว่าเยอะ
สุดท้ายเราตัดสินใจเดินถอยตามทางรถเมล์มาไปเรื่อย ๆ ทางซ้ายแบบไม่ต้องข้ามถนน จนได้เห็นทางเข้าเหล่าจวินต้ง
เมื่อเข้าไปแล้วก็ตามรอยเสี่ยวหงซู เดินตามทางที่จะไป หนานเทียนเหมิน ซึ่งที่ดูมา เป็นสถานที่ชมวิวที่เห็นเมืองฉงชิ่ง
การเดินไปหนานเทียนเหมิน ก็ถือว่าใช้กำลังเดินไม่มากนัก และถึงได้แบบไม่หลง แต่วันนี้อากาศไม่ค่อยดีอีกเช่นเดิม ทำให้เห็นเมืองฉงชิ่งทั้งเมือง ท่ามกลางหมอก (หรือฝุ่น) เมื่อถึงหนานเทียนเหมินแล้ว ก็ถ่ายรูปสักหน่อย แต่พอจะถ่ายรูปคณะเลยต้องรบกวนคนแถวนั้น ช่วยถ่ายให้ แต่พอเราขอให้เขาช่วยถ่ายรูปเสร็จ เขาก็ทักเราว่า เป็นคนไทย ใช่ไหม เพราะเห็นพวกเราคุยภาษาไทยกัน แล้วเขาก็ถามว่า เป็นไงบ้างมาเที่ยวฉงชิ่ง สนุกไหม เราก็ตอบไปว่าสนุก (แต่แอบคิดในใจว่าเหนื่อยเพราะเดินเยอะ)
ส่วนน้องเด็กสาวอีกคน พอช่วยเราถ่ายรูปเสร็จ พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย ก็ยกมือไหว้ ย่อตัว แถมทักทายว่าสวัสดีค่ะ ให้เราประทับใจ
ถือว่าเป็นการประทับใจในการมาเหล่าจวินต้ง อีกแบบหนึ่ง เพราะในเมืองไม่เจอคนจีนมาทัก และพูดคุยแบบนี้
พอถ่ายรูปหนานเทียนเหมิน เสร็จ ก็ตั้งใจเดินต่อไปบนเขา จนถึงตำหนักเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งแทบจะถือได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดของเหล่าจวินต้ง
ตำหนักเง็กเซียนมีทั้งหมด 4 ชั้นเป็นอาคารไม้ ด้านบนสุดมีรูปปั้นเคารพ และถือเป็นจุดชมวิวเมืองฉงชิ่งได้อีกจุดหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเราว่าจุดนี้สวยกว่าที่มองจากหนานเทียนเหมิน
พอมองลงไปด้านล่างเห็นลานกว้างซึ่งเป็นจุดบูชาใหญ่ ทำให้เราเพิ่งรู้ว่า เราเลือกเดินผ่านเลยจุดบูชาของวัดขึ้นมา
เลยตัดสินใจเดินลงไป ซึ่งส่วนตัวก็คิดว่าที่ตัดสินใจเดินขึ้นไปหนานเทียนเหมิน กับอวี้หวงโหลว แล้วค่อยเดินลงไป เป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว เพราะตอนแรกที่มา ยังมีแรงเยอะ พอเดินขึ้นเขาเรื่อย ๆ แรงก็ลดน้อยลงไป
จากอวี้หวงโหลว เราเดินไปจุดที่บูชาด้านล่าง ซึ่งก็คือ ตำหนักซานชิง หรือซานชิงเตี้ยน ซึ่งในระหว่างที่เดินลงมา ก็ผ่านตำหนักเทพเจ้า ไล่ลงมา เรื่อย ๆ
พอถึงด้านหน้าของตำหนักสามวิสุทธ์ หรือซานชิงเตี้ยน ก็คุ้น ๆ ว่าในเสี่ยวหงซู บอกว่าเหล่าจวินต้ง ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเรื่องวาสนาด้านความรัก ขนาดมีพิธีไหว้เพื่อขอวาสนารัก โดยตรง
นอกจากนี้ด้านหน้าตำหนัก ยังมีสถานที่เซี่ยงเซียมซี โดยหลังจากได้เบอร์เซี่ยมซีแล้ว ก็สามารถเดินเข้าไปด้านใน จะมีนักพรตเต๋า คอยตีความคำทำนายให้ แต่ก่อนที่จะได้เซียมซี และคำทำนาย เราก็ต้อง ทำบุญค่าเซียมซี ซึ่งกำหนดชัดเจน ว่าต้องจ่ายประมาณ 10 หยวน
และเช่นเดิมคือ ผู้ทำนาย ใช้สำเนียงจีน ฉงชิ่ง กับเราอีกแล้ว แต่พอเขาฟังสำเนียงจีน สไตล์ไทยแบบเรา ก็เปลี่ยนเป็น ผู่ทงฮั่ว ให้ทันที
อีกสิ่งที่ประทับใจเรา นั่นคือ การที่เราอยู่หน้าตำหนักเทพ ตำหนักหนึ่ง ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นเทพอะไร แต่พอเงยหน้าไปอ่านเจอว่าเป็น เจินอู่ต้าตี้ หรือเจ้าพ่อเสือ แห่งเขาบู๊ตึ๊ง ซึ่งเราเคารพอยู่ พอมาได้เจอที่นี่ ก็รู้สึกว่าเป็นวาสนาเล็ก ๆ ว่า ได้เจอท่านด้วยที่นี่
พอไหว้พระ จนอิ่มบุญแล้ว พอเตรียมตัวกลับ ก็มองแผนที่ว่าจะหาแท๊กซี่กลับ หรือจะเดินกลับ พอเห็นว่าเดินกลับได้ โดยเดินลงเขาไปเรื่อย ๆ จนไปถึง ฉางเจียงซั่วเต้า หรือกระเช้าข้ามแม่น้ำฉางเจียง ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เลยตัดสินใจเดินลงเขาไปเรื่อย ๆ ผ่านเส้นทางที่หากคนต้องการเดินขึ้นเขา ก็สามารถเดินผ่านทางที่เราเดินลงมาได้ ระหว่างทาง เห็นซุ้มหมอดู เป็นระยะ ๆ พร้อมกับการเดินสวนคนที่เดินขึ้นมา
เดินจนพ้นอาณาเขตวัด เข้าสู่เขตบ้านคน จนทำให้เราเห็นว่าฉงชิ่งที่แท้จริงเป็นแบบไหน เพราะระหว่างทางเราเห็นบ้าน ตลาด รวมไปถึง สถานที่เล่นไพ่นกกระจอก และวิถีชีวิตคนฉงชิ่งที่แท้จริง แบบที่ไม่ได้เห็นจากอีกฝั่งของแม่น้ำ นี่ก็คืออีกความประทับใจหนึ่ง ที่เชื่อได้ว่า คนที่มาเที่ยวฉงชิ่ง ไม่น่าจะมีสักกี่คนที่ได้สัมผัสบรรยากาศ
เราเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหมายนั่นคือ กระเช้าข้ามแม่น้ำฉางเจียง เวลานั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำ เราทำการซื้อบัตร แบบข้ามครั้งเดียว เพราะฟังรีวิว มาว่า ไม่แตกต่างกัน
ได้ตั๋วเสร็จ เดินไปห้องน้ำ จึงเห็นจุดชมวิว ที่ถ่ายภาพและร้านขายของที่ระลึก จึงตัดสินใจนั่งรอสักพัก เผื่อว่าทางอีกฝั่งของแม่น้ำ จะเปิดไฟ ในระหว่างรอจึงได้ภาพสวย ๆ และคลิปสวย ๆ ของกระเช้าข้ามแม่น้ำฉางเจียง มาหลายคลิป
แต่เมื่อรอจนนานแล้ว ฝั่งนั้นยังไม่เปิดไฟเสียที เราจึงตัดสินใจเดินไปขึ้นกระเช้า จากฝั่งหนานซาน ซึ่งมีคิวคนรอขึ้นอยู่พอสมควร แต่เชื่อได้ว่าน่าจะน้อยกว่าการข้ามจากฝั่งเมืองมา
ความรู้สึกของการขึ้นกระเช้านั้น เฉย ๆ เพราะคนค่อนข้างมาก ไม่ค่อยได้เห็นวิว เทียบกับตอนดูด้านล่างผ่านทางด้านนอกจะสวยกว่า
พอนั่งกระเช้ามาฝั่งเมืองแล้ว เราก็เปิดแผนที่ เตรียมตัวเดินกลับเข้าที่พัก ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ไกลพอเดินจากทางลง
สรุปว่าวันนี้เดินเยอะมาก แต่ที่เหนื่อยที่สุดคือตอนเดินลงเขา ดังนั้น แค่เดินจากทางลงกระเช้า ไปที่โรงแรมถือว่าไม่ไกลเท่าไร
ถึงที่พัก จัดการนำเสื้อผ้าไปฝากพนักงาน front ซักเหมือนเดิม คืนนี้เหนื่อยมาก นอนได้อย่างรวดเร็ว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *