บันทึกการเดินทาง 26 ธันวาคม 2565 ดอยอินทนนท์ วันที่ 1

บันทึกการเดินทาง 26 ธันวาคม 2565 ขึ้น ดอยอินทนนท์ วันที่ 1

เช้านี้ตื่นมาที่บ้านรัตนาภรณ์ ทางจึ้นดอยอินทนนท์ ที่บ้านพักนี้มีขนมปัง และกาแฟ ไว้ให้กินฟรี ตื่นเช้ามาอากาศค่อนข้างหนาว จึงเลือกกินขนมปังที่ซื้อมาเองกับกาแฟที่มีให้

เช้านี้สังเกตได้ว่าคนที่เข้ามาพักส่วนใหญ่ check out ออกไปแต่เช้าแล้ว คาดว่าคงรีบขึ้นดอยไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะตอนเราเข้า check in เจ้าของที่พักก็บอกว่า พรุ่งนี้ ต้องออกตี 5 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนเราเลยบอกว่าไม่ต้องรีบก็ได้เพราะเรามีแผนพักที่ดอยอินทนนท์ 2 คืน ดังนั้นเช้านี้จึงตื่นสาย ๆ ได้

ตอนเรานั่งกินกาแฟ เห็น คณะ single dad ลูก 3 ชาวญี่ปุ่น มานั่งกินกาแฟอยู่ เนื่องจากอากาศหนาว เราตื่นก่อนเลยยึดห้องกระจกด้านใน ซึ่งปิดหน้าต่างไว้แล้ว คณะของ single dad พร้อมเด็ก ๆ อายุประมาณ 6-9 ขวบ ชายหญิง 3 คนรวมคุณพ่อเป็น 4 คน เลยต้องเลือกนั่งกินกาแฟด้านนอกห้องกระจก ส่วนตัวเราคิดว่าครอบครัวนี้น่ารักดีถึงแม้ว่าจะไม่ได้คุยกันก็ตาม เสียดายคือขาดคุณแม่ที่ไม่น่ามาในทริปด้วย

กินกาแฟเสร็จแล้ว เตรียมจัดของ Check out พอดีกับเจอกลุ่มของ Single dad และเด็ก ๆ 3 ครกำลังเตรียม check out และขึ้นรถสองแถวเตรียมไปขึ้นดอยเช่นเดียวกัน

ส่วนเรา check out เช้านี้ไม่เจอเจ้าของแต่เจอพนักงานที่บ้านพักถามตอน check out ว่าจะไปไหนต่อ เราก็บอกว่าจะขึ้นดอยอินทนนท์ พนักงานเลยบอกว่าหนาวนะ

ในใจเราก็คิดว่า อย่าขู่เลย ยังไงก็ต้องขึ้น จองที่พักไว้แล้ว 🙂 ก่อนออกพนักงานยังชวนกินกาแฟ เราเลยบอกว่ากินเรียบร้อยแล้ว สรุปว่าที่พักนี้ พนักงานเอาใจใส่ดูแลดี สะอาด กาแฟ ขนมปังมีให้บริการพออิ่ม ราคาไม่แพงมาก แนะนำให้เป็นที่พักก่อนหรือหลังขึ้นดอยอินทนนท์ แล้วค่อยไปต่อได้

ออกจากบ้านรัตนาภรณ์ เราเดินทางไปตามเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ ผ่านด่านทางขึ้นแรก เปิดประตูถามเจ้าหน้าที่จะจ่ายเงินค่าเข้าอุทยาน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าอีก 2 กิโล

ขับรถมาอีก 2 กิโล เจอด่านที่คนมาเข้าซื้อบัตรผ่านและแวะพักเข้าห้องน้ำ ตอนแรกเราไม่รู้เลยขับเลยประตูเข้าไปสุดท้ายเลยมีถนนทางวนกลับไปที่จอดรถ เพื่อซื้อบัตรก่อน

ที่ซื้อบัตรเข้าอุทยาน คนค่อนข้างเยอะ มีชาวต่างชาติ คนไทย คนขายของ ขายดอกไม้สำหรับคนไปไหว้พระธาตุด้านบน

ค่าเข้าที่นี่ รถยนต์ 30 บาท แต่ ค่าเข้าคนละ 60 บาท สวนทางกับที่เขาใหญ่ที่ค่าเข้ารถยนต์แพงกว่าค่าเข้าของคน

ผ่านมาทีหลัง จึงเข้าใจจากเพื่อนว่าเก็บตามจำนวนคนดีกว่า เพราะบางคนใช้รถตู้ 1 คันแต่บรรทุกคนหลายคน

ซื้อตั๋ว จ่ายเงินค่าเข้าอุทยานถูกต้อง จึงขับรถต่อไปยังจุดหมายแรก น้ำตกวชิรธาร ขับรถขึ้นดอยมาเรื่อย ๆ แล้วจะมีทางแยกไปทางน้ำตก การขับรถมาต้องมีทักษะนิดหน่อยแต่ก็ผ่านมาด้วยดี จนถึงที่จอดรถที่น้ำตก

ลงจ่กรถ หันไปก็เห็น น้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มา เพราะมาดอยอินทนนท์ คราวก่อนไม่ได้แวะน้ำตก

ถึงที่น้ำตกวชิรธาร คณะของเราเกิดหิวขึ้นมาเลยเลือกกินข้าวให้ท้องอิ่มก่อนจึงเลือกร้านอาหารแถบ ๆ ริมน้ำตกกินก่อน

อาหารมื้อนี้สั่งอาหารตามสั่งพวกข้าวผัด ผัดขี้เมา และแกงจืด เพื่อนเราอยากสั่งต้มยำ แต่เราเสนอว่ายังเช้าอยู่กินแกงจืดแล้วกัน แต่เพื่อนบอกว่าอยากกินอะไรซ่า ๆ หรือเผ็ดๆ เราเลยสั่งโค้กมาแทน

ที่ร้านอาหารนี้คนรับออเดอร์เป็นคุณป้า แต่มีครั้งหนึ่งแม่ครัวมารับเอง แอบสังเกตว่าแม่ครัวน่ารัก (แต่ทำอาหารได้เผ็ดดี) ส่วนน้ำจะมีนมารับออกเดอร์ต่างหากและจ่ายค่าน้ำแยกไปเลย ส่วนค่าอาหารถึงแม้ว่าสั่งข้าวจานเดียวหลายจาน แต่ส่วนตัว เราว่าแพงนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นร้านอาหารในสถานที่ท่องเที่ยว

ใกล้ ๆ กันกับร้านอาหารที่นั่งกินอยู่เป็นริมธารน้ำตกที่มองไปก็เห็น ถือว่าบรรยากาศนี้ ส่วนด้านหลังใกล้ ๆ ร้านมีห้องน้ำของอุทยานซ่อนตัวอยู่ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาเข้าห้องร้ำทางนี้ แต่เราเลือกห้องน้ำทางนี้เพราะคนน้อยกว่ามาก

กินข้าวจ่ายเงินเสร็จได้เวลาเดินชมกับน้ำตกวชิรธาร

จุดแรกคือถ่ายรูปหน้าป้าย ซึ่งมี background เป็นน้ำตกอยู่ด้านหลัง อยากถ่ายภาพกับเพื่อนเลยคุยภาษาอังกฤษขอความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแถวนั้นให้ถ่ายให้

จากนั้นเราก็เดินขึ้นไปถ่ายที่ป้ายที่น้ำตก ที่ประทับใจคือเห็นสายรุ้งที่น้ำตกพอดีเลย จึงถ่ายรูปถ่ายคลิปเก็บไว้หลายรอบ

ถ่ายรูปกับป้ายที่น้ำตกแล้ว ที่น้ำตกจะมีทางขึ้นไปดูน้ำตกที่จุดสูง และลงไปดูน้ำตกที่ด้านล่าง

เราเลือกเดินขึ้นไปยังจุดสูงก่อน เดินไม่ไกล ค่อย ๆ เดินก็ถึง จากจุดนี้ก็จะเห็นน้ำตกได้ใกล้ขึ้น และเห็นสายรุ้ง กับน้ำตกในอีกมุมหนึ่ง เมื่อถ่ายรูปจนพอใจแล้ว เราก็เดินลงมา ตอนแรก ก็ลังเลใจว่า จะเดินลงไปดูที่จุดด้านล่างดีไหมเพราะเวลาเราจำกัด สุดท้ายก็ตัดสินใจลงไป และขอบอกว่าประทับใจมาก ถ้าไม่ลงไปดูทางนี้คงเสียใจแย่ เพราะมุมด้านล่างนี้จะทำให้เราได้เห็นน้ำตกทั้งหมด และน้ำตกสาดแรงมาก เราได้ถ่ายรูปที่จุดนี้อยู่นาน และใช้ตาเปล่า มองน้ำตกซึมซับ ณ จุดนั้ ถือเป็นจุดที่ประทับใจที่สุดของเรา ในน้ำตกวชิรธาร

ดูน้ำตกจนพอใจแล้วก็เดินทางต่อ วันนี้เรามีแผนต้องไปกางเต้นท์ที่ลานกางเต้นท์ดงสน ตอนแรกจึงลังเลว่าจะแวะน้ำตกอีกที่ ที่หาข้อมูลดีไหม สุดท้าย พอเห็นว่าเป็นทางผ่าน และจอดแวะได้เลยแวะก่อนขึ้น

น้ำตกที่เราแวะนี้ ชื่อว่าน้ำตก สิริธาร ตั้งชื่อโดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ เมื่อครั้งเสด็จเยือนที่นี่

ตอนที่เราอ่านและหาข้อมูลที่ท่องเที่ยวในดอยอินทนนท์ ได้เห็นรูปพระองค์ท่าน กับสถานที่เหมือนเป็นสะพานไม้ รายละเอียดว่า เป็นน้ำตกที่พระองค์ตั้งชื่อเลยอยากแวะมาดู

น้ำตกสิริธารนี้ไม่ไกลจากน้ำตกวชิรธาร แต่นักท่องเที่ยวน้อยกว่า ตอนเราไปมีชาวต่างชาติ 1 คน จอดมอเตอร์ไซค์แวะที่นี่

จากทางเข้า มีป้ายชี้บอกทางว่าต้องเดินลงไปประมาณ 100 เมตร เสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล แต่ไม่เห็นน้ำตกไม่เหมือนน้ำตกวชิรธาร ที่จอดรถ ก็เห็นน้ำตกอยู่ตรงหน้า

น้ำตกสิริธารนี้ต้องใช้แรงเดินสักหน่อย จึงเข้ามาถึง แต่ส่วนตัวไม่ประทับใจนักเพราะมีต้นไม้ใหญ่บังน้ำตกที่เห็นอยู่แต่ไกล แต่ก็ถือเป็นธรรมชาติที่ต้นไม้จะสูง บังวิวน้ำตกไปบ้าง

ส่วนตัวน้ำตกนั้นอยู่ค่อนข้างไกล แต่ก็ใหญ่มากเห็นว่ามี 3 ชั้น ส่วนสะพานไม้ที่เคยเห็นในรูปนั้น ก็ยังดีอยู่ทางเดินมาได้ ไม่ผุพังแต่ประการใด

ส่วนตัว น้ำตกสิริธารนี้ แวะก็ได้ไม่แวะก็ได้ ไม่ค่อยประทับใจ เพราะต้องเดินเข้า แถมน้ำตกอยู่ไกล ๆ สิ่งที่ได้คือมาเยือนที่ ๆ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์เคยมาเยือน และมาเห็นน้ำตกที่ทรงตั้งชื่อให้ ถือเป็นตำนานแบบหนึ่ง

จากน้ำตกสิริธาร เราเดินทางต่อ โดยตั้งใจว่าจะแวะที่ทำการอุทยานก่อน เพราะได้ข่าวว่ามีที่ตั้งเต้นท์หน้าอุทยานเผื่อเราเปลี่ยนใจไปกางเต้นท์ตรงนั้น แต่พอเห็นสถานที่จริงแล้ว ตัดสินใจไปกางเต้นท์ที่ดงสนดีกว่า เพราะกางเต้นท์ที่หน้าอุทยานค่อนข้างร้อน

ที่ใกล้ ๆ หน้าอุทยาน มีร้านอาหารขาย โดยเราฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารตรงนี้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนดอยอินทนนท์

เราหยุดถ่ายรูปหน้าป้ายที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ก่อนเดินทางไปต่อที่ลานกางเต้นท์ดงสนซึ่งอยู่ไม่ไกล

พอเข้าไปที่ลางกางเต้นท์ดงสน พบเจ้าหน้าที่ที่หน้าทางเข้า แจ้งว่าเราจองและจ่ายเงินค่าพื้นที่เต้นท์มาแล้ว 2 คืน เจ้าหน้าที่ยังไม่ทันดูเอกสารใด ๆ ที่เราเตรียมมาก็พยักหน้าเปิดประตูให้เราเข้าได้เลยแบบงง ๆ ว่านี่อุตส่าห์เตรียมหลักฐานมาอย่างดี แต่เจ้าหน้าที่ไม่ดูเลยเหรอ อย่างนี้คนเขาจะมั่ว ๆ มากางเต้นท์ก็ได้ไหม 🙂

เข้ามาลางกางเต้นท์ ก็เริ่มหาที่กางเต้นท์ ซึ่งลักษณะเป็นลางดงสน มีพื้นที่สูงต่ำ เราเลือกสถานที่ใกล้ห้องน้ำ แต่ข้อเสียของที่นี่คือหาพื้นที่เรียบ ๆ กางเต้นท์ พร้อมกับที่ ๆ ใกล้ห้องน้ำไม่ค่อยได้ เร่เลยต้องยอมกางเต้นท์ในที่ ๆ มีระดับพื้นสไลด์ลง สรุปว่าต้องนอนแบบสไลด์ ๆ แบบนี้ทั้ง 2 คืน ส่วนที่ดี ๆ จะถูกจองโดยเต้นท์เปล่าของอุทยานหมด สรุปว่าใครไม่เอาเต้นท์มาเองเลือกนอนเต้นท์ของอุทยานก็จะได้โลเคชั่นดี ๆ ที่เลือกเองได้เลย

เริ่มต้นกางเต้นท์ ใช้เวลาอยู่ชั่วโมงกว่าเกือบ 2 ชั่วโมง ถึงกางเสร็จ กางเต้นท์ำม่ยากแต่กาง Flyer ย่กกว่ามาก แต่รอบนี้ถือได้ว่ากางเต้นท์และ flyer ได้ดีกว่าตอนไปอุทยานภูหินร่องกล้ามาก ทั้ง ๆ ที่เป็นป่าสนเหมือนกัน

กางเต้นท์เสร็จเป็นเวลา สี่โมงเย็นกว่า ๆ เราปรึกษากับเพื่อนว่าจริง ๆ แล้ววันนี้เรายังมีแผนเที่ยวอีกที่ ไปไกลโพ้นสุดของอีกฝั่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะไปดีไหม เพราะกลัวกลับมาดึก ยังไม่อาบน้ำเลย คืนนี้หนาวแน่

แต่สุดท้ายก็ตกลงว่าจะไปกัน โดยที่ ๆ เราจะไปคือขุนวาง เพื่อจะไปดูว่ามีดอกนางพญาเสือฌคร่งหรือซากุระบานไหม

ระหว่างทางไปขุนวาง ต้องผ่านดอยชัวญ่า ซึ่งเป็นลานกางเต้นท์ของเอกชน เรียงรายหยู่ บริเวณนี้ หากกางเต้นท์จะเห็นน้ำตกสิริภูมิสวยมาก

จากนั้นเราก็ขับรถกันต่อไป ทางก็แคบลงเรื่อย ๆ ต้องชื่นชมฝีมือการขับรถของเพื่อนเรา ที่ฝ่ได้ทุกที่ จนในที่สุดก็ถึงขุนวาง

พอเข้าไปถึงที่ขุนวาง จะต้องมีการลงทะเบียนก่อนว่ามากันกี่คน เป็นชายหรือหญิงกี่คน จากนั้นจึงเข้าไปท่องเที่ยวได้

ที่ขุนวางไฮไลท์ของที่นี่คืออุโมงค์ซากุระซึ่งในช่วงที่เราไปยังไม่บาน สอบถามเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะบานในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี

ทั้ง ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าดอกนางพญาเสือโคร่งหรือดอกซากุระยังไม่บาน แต่ก็อยากลองไปดู

ถึงแม้ไม่เห็นซากุระบานแบบเยอะ ๆ แต่วิวรอบ ๆ ขุนวางก็ถือว่าสวยมาก ประกอบกับบรรยากาศช่วงเย็น ๆ ดู ๆ ไปก็เหมือนเที่ยวต่างปนะเทศอยู่ไม่น้อย

ที่นี่ตอนที่เราไป คนมาเที่ยวไม่มาก เพราะ เย็นแล้ว แต่บรรยากาศดี ห้องน้ำสะอาด เจ้าหน้าที่แนะนำง่าเราสามารถเข้าไปขับรถวน ๆ ดูได้ เราจึงขับรถวน ๆ ดูไปจนถึงอุโมงค์ซากุระ ซึ่งดอกไม้ยังไม่บานเลยขับรถถอยออกมาจนถึงทางออกเห็นดอกซากุระ บานอยู่เล็กน้อย 1-2 ต้นเลยถ่ายรูปจนพอใจก่อนถ่ายรูปคู่กับรถที่พาเรามาจนถึงด้วย

ถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็ขับรถกลับออกมาทางเดิม เส้นทางกลับก็โหดพอ ๆ กับทางที่มา

พวกเราตัดสินใจจับเลยจุดกางเต้นท์ดงสน ไปที่ที่ทำการอุทยาน กินข้าวเย็น ที่นี่ก่อน

ร้านข้าวที่ทำการอุทยาน มี 4 ร้าน เป็นร้านอาหารตามสั่ง เลือก 1 ใน 4 ร้าน และสั่งเห็ดหอมทอด มาลองชิมตามคำแนะนำของร้านว่าอร่อย สรุปว่าอร่อยจริง ส่วนทอดมัน ที่สั่งมา คล้าย ๆ เหมือนหมูยอ รสชาติธรรมดา แต่ต้มยำรวมมิตรน้ำข้น รสชาติหวาน ๆ หน่อย เหมาะสำหรับชาวต่างชาติ เพราะร้านค้าที่ที่ทำการอุทยานนี้ ตอนกลางวันจะเต็มไปด้วยทัวร์ที่นำพาชาวต่างชาติมากินข้าวตอนกลางวัน เลยเข้าใจว่าทำรสชาติให้ชาวต่างชาติคุ้นเคย และพอกินได้หน่อย

เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ก็ขับรถเดินทางกลับไปที่ลานกางเต้นท์ดงสน พอถึงที่ลานกางเต้นท์ก็ดึกพอดี รีบอาบน้ำ ซึ่งน้ำก็ค่อนข้างเย็นมาก ก่อนจะเข้านอน

ตอนดึก ๆ ตื่นมาเข้าห้องน้ำ ปรากฎว่า ลานกางเต้นท์ที่นี้ เปิดไฟ Sportlight เป็นจุด ๆ ทำให้มีแสงสว่างพอที่จะไม่ต้องใช้โคมไฟที่เตรียมมาเลย ถือเป็นข้อดี แต่ตอนตื่นขึ้นมากลางดึกหนาวมาก ไม่ได้เงยหน้ามองฟ้า ว่าเห็นดาวเยอะไหม ได้แต่รีบเข้าในเต้นท์ ส่วนที่นอน พอดีตอนเลือกที่กางเต้นท์ ได้ที่เอียง ๆ เลยนอนแบบเอียง ๆ เล็กน้อย แต่หลับสบายดี เพื่อนที่มาด้วย ก็หลับดี อ้อ ตอนดึก ต้องหยิบเสื้อหนาว และลองจอน ที่เตรียมไว้มาใส่เพิ่มด้วย เพราะหนาวมาก

จบบันทึกการเดินทางวันนี้ พรุ่งนี้มีเที่ยวดอยอินทนนท์ทั้งวัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *