บันทึกการเดินทาง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 27 ธันวาคม 2564

บันทึกการเดินทาง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 27 ธันวาคม 2564

ตื่นเช้ามาวันนี้ ด้วยบรรยากาศ เต็นท์ กับป่าสน แต่ดูเหมือนว่าเราจะตื่นสาย พระอาทิตย์ขึ้นมาไกลแล้ว วันนี้เรามีแผนไปดูใบเมเปิ้ล ซึ่งเป็นเป้าหมายของการมาทริปที่ภูหินร่องกล้าในครั้งนี้ เพราะตามข่าวแฟนเพจของอุทยานทราบว่า ใบเมเปิ้ลเริ่มแดงแล้ว

ในตอนแรกเราก็คิดว่าจะไปเที่ยวใกล้ก่อน แล้วค่อยไปไกล หรือจะไปไกลก่อนดี สรุปว่า เราตัดสินใจ ขับรถเที่ยวไปทางไกล คือไปดูใบเมเปิ้ลก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมาสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ เต็นท์

เช้านี้ รับประทานอาหารเช้า โดยเลือกร้านอาหารอีกร้านหนึ่ง ค่อนข้างประทับใจกับร้านนี้ ถึงแม้ว่า อาหารเช้าจะมีแค่ ข้าวต้มหมู ไข่กะทะ และกาแฟ และโกโก้ร้อน ทราบจากทางร้านว่าของหมด กำลังไปซื้อของมาเพิ่ม ช่วงเที่ยง ๆ ถึงจะมีเมนูเพิ่ม

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเราก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหาทางไปที่สถานที่ดูใบเมเปิ้ล ซึ่ง อ่านมาว่า ไปที่น้ำตกหมันแดง แต่สรุปว่าในครั้งแรก เราขับเลย เลยตัดสินใจ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ ขับทะลุไปดูภูทับเบิกก่อนเลยว่าเป็นยังไง ขับไปจนเกือบถึงแล้ว จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เราอยู่ในอุทยานแห่งชาตินี่นา ถ้าขับรถออกไปแล้ว ต้องเสียเงินค่าเข้าใหม่ไหม พอถึงทางออกจึงจอดรถค้างไว้ที่หน้าทางออก ฝั่งร่องกล้า – ภูทับเบิก แล้วไปถามเจ้าหน้าที่ว่า เราขอออกไปดูภูทับเบิก แล้วเข้ามาใหม่ได้ไหม เพราะยังกางเต็นท์อยู่ที่กางเต็นท์

เจ้าหน้าที่อนุญาติว่าได้ ให้แสดงตั๋วเข้าอุทยาน ที่เราจ่ายเงินแล้วเมื่อวาน จากนั้นเราก็จึงขับรถออกมา

ตรงทางออก ภูหินร่องกล้า – ภูทับเบิก มีห้องน้ำบริการ จึงแวะเข้าห้องน้ำก่อน จากนั้นจึงไปจอดถ่ายรูปตรงป้ายภูทับเบิก

ข้อดีของการมาภูทับเบิกจากทางภูหินร่องกล้าคือ เราจะได้เห็นมุมวิวสูง เห็นภูทับเบิกในมุมกว้างทั้งหมด และนี่เป็นครั้งแรกที่เรามาภูทับเบิก

จากนั้น พวกเราได้ดัดสินใจ ขับรถลงภูทับเบิกไป ระยะทางไม่ไกลมาก ประมาณให้เห็นเป็นแนวทางว่า ภูทับเบิก เป็นภูเขา ที่มีแต่ลานกางเต็นท์ เห็นมุมกว้าง ๆ ของเขา ต่างจากภูหินร่องกล้า ซึ่งมีต้นไม้ ต้นสน บัง ไม่ร้อน แต่ทางภูทับเบิกจะร้อนกว่า แต่กลางคืนน่าจะเห็นท้องฟ้า และดวงดาวได้เต็มตามากกว่า

ขับรถลงไปดูภูทับเบิกได้ไม่ไกล ตัดสินใจกลับ เพราะว่าวันนี้เรามีแผนเที่ยวที่ภูหินร่องกล้าก่อน ส่วนที่มาภูทับเบิกนั้นเป็นนอกแผน หลังจากขับรถขึ้นจากภูทับเบิกย้อนกลับขึ้นมาเข้าภูหินร่องกล้า ที่ทางเข้าเจอเจ้าหน้าที่ที่เราเข้าไปถามพอดี เมื่อยื่นบัตรเข้าภูหินร่องกล้า จึงไม่ต้องอธิบายมาก ก็ได้กลับมาที่ภูหินร่องกล้า

สถานที่ท่องเที่ยวแรกในภูหินร่องกล้า คือ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ภรก 7 (National Park Protection Unit at Phorok 7) ซึ่งเป็นทางเข้าไปที่น้ำตกหมันแดง สถานที่ดูใบเมเปิ้ลแดง เป้าหมายสำคัญของทริปนี้

เมื่อจอดรถที่ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ภรก 7 แล้ว กิจกรรมแรกที่เราทำคือ ทานอาหารกลางวัน ซึ่งเราสั่งใส่กล่อง จากร้านอาหารที่เราไปทานมื้อเช้า เพราะคาดไว้แล้วว่า วันนี้น่าจะตระเวณดูทั่ว ไม่น่าจะได้กลับมาทานข้าวกลางวัน ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องมาก ๆ เพราะทำให้เราได้ทานข้าวกลางวัน ที่ศาลา ด้านหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พอดี

ในระหว่างทานข้าวกลางวัน สังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ตรงนี้แค่คนเดียว จากนั้นก็มีกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้าไปดูใบเมเปิ้ล จึงรู้ว่า การเข้าไปที่น้ำตกหมันแดง ค่อนข้างไกล ประมาณ 3-4 กิโล ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง ส่วนถ้าจะไปดูใบเมเปิ้ล ที่ใกล้ที่สุด เดินเข้าไปประมาณ 300 – 400 เมตร ถือว่าไม่ไกล

เมื่อทานข้าวและทำธุระเสร็จก็ได้เวลาออกเดินไปดูใบเมเปิ้ล ซึ่งถือว่าไม่ไกลเลย เดินไม่ยาก ก็ได้เห็นใบเมเปิ้ลสวย ๆ แล้ว

ถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ล จนจุใจ จึงเดินกลับมาที่รถ และเดินทางสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่อไป คือ โรงเรียนทหารและการเมือง

ที่นี่เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาที่ประเทศไทย มีความขัดแย้งทางความคิดกัน และอิทธิพลความคิดเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาในประเทศไทย

จากที่เรารู้มา ที่โรงเรียนทหารและการเมือง ถ้าช่วงที่ใบเมเปิ้ลแดง และร่วงหล่นที่หลังคาของบ้านพักในบริเวณนี้ ถ่ายรูปออกมาดูสวยมาก แต่ในตอนที่เราไปดูจริง ใบเมเปิ้ล ยังไม่ค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดง และยังไม่ร่วงหล่นมากนัก บรรยากาศดูวังเวง เพราะกลุ่มของเราเป็นกลุ่มเดียวที่เข้าไปดู ยิ่งเดินลึกเข้าไป ยิ่งวังเวง ที่นี่ เราเห็น ข้อมูลที่อ้างอิงเกี่ยวกับแนวคิดคอมมิวนิสต์ และการอ้างอิงเกี่ยวกับประธานเหมาเจ๋อตุง แต่ไม่ได้อ่านอย่างละเอียดมากนัก

ตัดสินใจว่าเดินเข้าไปไม่ไกล ก็รีบเดินออกมาด้วยความรู้สึกวังเวง เพราะเป็นช่วงเวลาบ่ายแล้ว และเรายังมีแผนต้องไปสถานที่ท่องเที่ยวอื่น

ในระหว่างที่เตรียมจะเดินออก จึงพอมีกลุ่มนักท่องเที่ยวแวะมาที่นี่บ้าง แต่หากเทียบกับตอนเช้าที่ผ่าน ถือว่าตอนเช้ามีนักท่องเที่ยวมากกว่า

ที่จุดนี้มีห้องน้ำให้บริการ เป็นอีกจุดหนึ่งที่แวะได้

พอออกจากโรงเรียนทหารและการเมือง สถานที่ต่อไป ที่เราเดินทางไปถึงคือ ลานหินปุ่มและผาชูธง ซึ่งถือเป็นจุด Hi-light ของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และห่างจากจุดกางเต็นท์เพียงประมาณ 4 กิโลเมตร

ที่จุดท่องเที่ยวลานหินปุ่มและผาชูธงนี้ สังเกตว่ามีซุ้มร้านค้ามากกว่าที่อื่น ๆ แต่ร้านค้าที่ขายจริง ๆ ก็น้อยมาก เข้าใจว่าเป็นเพราะช่วงโควิดส่งผลให้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว แต่หากเทียบกับนักท่องเที่ยวที่จุดอื่น ถือว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวที่แวะมาที่จุดนี้ค่อนข้างมากแล้ว

เมื่อจอดรถ ลงรถเสร็จ ก็แวะเข้าห้องน้ำก่อนเดินทางเข้าไป

การไปลานหินปุ่มและผาชูธง เราสามารถตกลงกับไกด์ท้องถิ่นที่เป็นชาวบ้านได้ เนื่องจากมีทั้งทางลัด และทางที่ดูได้ทั่ว ๆ แต่เราเลือกที่จะเดินไปเอง

สถานที่แรกที่จะไปคือลานหินปุ่ม ซึ่งระหว่างทางก็จะมีหินรูปร่างต่าง ๆ และป้ายชี้บอกพันธุ์ต้นไม้ที่พบในบริเวณนั้น ๆ ระยะทางจากทางเข้า ๆ ไปยังลานหินปุ่ม ประมาณ 2 กิโลเมตร และเดินต่อไปยังผาชูธงได้

ช่วงเวลาที่เราไป เป็นช่วงเย็น และอยู่จนถึงพระอาทิตย์เกือบตกดิน แสงที่สะท้อนป่าด้านหน้า ณ จุดที่เราอยู่นั้น สวยงามมาก เพื่อนที่ไปด้วยกันบอกว่า เราควรมองด้วยสายตาบ้าง อย่ามัวแต่ถ่ายรูป เราจึงได้มองวิวด้านหน้าของลานหินปุ่มและผาชูธง ได้จนอิ่มใจ และขอยืนยันว่า แม้รูปที่นำมาว่าสวยแล้ว แต่การเดินทางไปด้วยตัวเอง และมองด้วยตาตัวเองนั้น มันสวยงามยิ่งกว่ามากนัก

หลังจากเดินออกจากผาชูธงแล้ว เราเลือกเดินทางลัด กลับมาที่ลานจอดรถ และตัดสินใจกลับลานกางเต็นท์ทันที โดยไม่ได้ไปลานหินแตกต่อ เพราะค่อนข้างเย็นแล้ว

ขอกล่าวถึงลานหินแตก ที่เราแวะไปก่อนกางเต็นท์ วานนี้นิดนึงว่า จริง ๆ แล้ว ทราบมาว่าจากทางเข้าเดินเข้าไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร

เนื่องจากในช่วงที่กลับถึงลานจอดรถลานหินปุ่มนั้น ค่อนข้างเย็นแล้ว เราจึงตัดสินใจกลับลานกางเต็นท์ และถึงลานกางเต็นท์ประมาณ 18.00 น. ก่อนมืดพอดี จากนั้นเราก็แวะทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารร้านเดิม มื้อเย็นคืนนี้ สั่งอาหารตามสั่ง ทั่วไป เพราะค่อนข้างเหนื่อยและหิว จริง ๆ แล้วทางร้านมีบริการหมูกะทะในราคาประมาณ 400-500 บาท แต่ในตอนนั้นหิว จึงสั่งอาหารตามสั่งแทน

ทานข้าวเย็นเสร็จ กลับไปเต็นท์ที่เรากางไว้เมื่อคืนก่อน และเป็นไปจริงตามคาดว่า ที่กางเต็นท์ ข้าง ๆ เรา ซึ่งถือว่าเป็นทำเลดี อยู่ใกล้ห้องน้ำ มีคนกลุ่มใหม่มากางเต็นท์

คืนนี้เข้านอนอย่างรวดเร็ว แต่กลุ่มกางเต็นท์กลุ่มใหม่นี้ ทั้งเปิดเพลงเสียงดัง ใช้เครื่องเป่าผมเสียงดัง แต่เราก็พยายามเพิกเฉยเสียง และนอนหลับ

ดึกคืนนั้นเราได้ยินเสียงเคาะหมุดเต้นท์จากกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิม เสียงเคาะซ้ำ ๆ เสียงดังจนเราต้องตื่นออกมาดูว่าแผ่นดินไหวหรือเปล่า มองนาฬิกาเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เสียงลมพัดแรง จนเราต้องตัดสินใจออกจากเต็นท์มาท่ามกลางความหนาว เพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น นึกว่าแผ่นดินไหว หรือมีพายุ เต็นท์ข้าง ๆ จึงต้องออกมาตอกหมุดเต็นท์เพื่อความแข็งแรงหรือเปล่า แต่สรุปว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เมื่อเราออกจากเต็นท์มา คนกางเต็นท์ข้าง ๆ จึงหยุดมือเคาะหมุดเต็นท์เสียที

ที่เขียนเล่าเรื่องนี้ เพราะหวังว่าท่านที่เข้ามาอ่าน และวางแผนจะเดินทาง ให้ระวังสิ่งแวดล้อมที่อาจเจอในตอนกางเต็นท์ หรือหากท่านจะไปกางเต็นท์เอง ขอให้เคารพสิทธิ์ของผู้กางเต็นท์ใกล้ ๆ กัน โดยเฉพาะเรื่องการใช้เสียง ให้มากขึ้น

ส่วนเจ้าหน้าที่ของอุทยานนั้น แทบจะไม่เห็นในลานกางเต็นท์ ไม่มีการจัดระเบียบนักท่องเที่ยวที่เข้ามากางเต็นท์ใด ๆ ทั้งสิ้น

คืนนี้กว่าจะได้หลับก็เที่ยงคืน เกือบตีหนึ่ง เพราะเมื่อตื่นแล้ว กว่าจะหลับลึกเท่าเดิมต้องใช้เวลา และจริง ๆ แล้ว หลังจากเสียงเคาะหมุดเต็นท์ เราก็ไม่ได้หลับลึกอีกเลย

จบเรื่องเล่าคืนนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *