บันทึกการเดินทาง จ.เลย

คำขวัญจังหวัดเลย “เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู ถิ่นที่อยู่อริยสงฆ์ มั่นคงความสะอาด”

บันทึกการเดินทางในจ.เลย วันที่ 7-11 พฤศจิกายน 2568

การเดินทางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมงานพิธีขอขมากรรม และการหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิม กับสมาคมพุทธเมตตาเทวาสงเคราะห์ จังหวัด เลย

วันที่ 7 พฤศจิกายน ถึงจ.เลย เวลาประมาณ 12.40 น. จากสนามบิน เราเช่ารถ เดินทางจากสนามบินเลยซึ่งเป็นสนามบินเล็ก ๆ ไปทานข้าวเที่ยงและซื้อของที่บิ๊กซี เลย เพื่อกิน MK

กินMk เสร็จ ก็ได้สั่งฮ๊ะเก๋า จาก MK ไปฝากอาเจ็ด อาแปด อาม่าเมิ่ง และฮ่าวจื้อเอี๊ย และสอบถามจากพนักงานว่า ถ้าต้องการหาซื้อดอกไม้ ผลไม้ พนักงาน MK แนะนำว่าไปที่ตลาดเย็นเทศบาลเมืองเลย คนพื้นถิ่นเรียกว่า ตลาดบ้านติ้ว ใกล้ ๆ กับ บขส.เลย

ที่ตลาดเย็น

ตลาดนี้เป็นตลาดบ้าน ๆ มีที่จอดรถใกล้ ๆ เสียค่าที่จอดรถ 5 บาท

ลงจากรถเดินมุ่งตรงไปหาร้านขายดอกไม้ ถือโอกาสได้สำรวจตลาด ทำให้รู้ว่า ส้มถูก กล้วยหาไม่ค่อยได้ ดอกบัว เดี๋ยวนี้ค่อนข้างแพง เราจึงเลือกดอกดาวเรืองแทน ไม่ค่อยมีแก้วมังกร ที่เราซื้อจากบิ๊กซีมาจึงเปรียบเทียบราคาไม่ได้ ตอนไปซื้อกล้วยแม่ค้าหลับอยู่แต่แม่ค้าร้านฝั่งตรงข้ามก็มาช่วยใส่ถุงคิดเงิน บรรยากาศบ้าน ๆ ประทับใจดี

พอหาของไหว้ได้ครบแล้ว เราก็เดินทางไปที่ศาลไต่เสี่ยฮุกโจ้ว จ.เลย

พอไปถึงศาล มีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่เพียงคนเดียว แต่ตอบคำถามดีมาก ความรู้สึกส่วนตัวคือ ได้มาถึงศาลที่ตั้งใจมาเสียที และได้ไหว้เป็นลูกศิษย์สมความตั้งใจ

วันนี้ฝนตกเบาผสมหนัก เนื่องจากพายุคัลแมกี สอบถามเส้นทางไปสถานที่หล่อพระและทำพิธีขอขมากรรมในวันนี้ จากนั้นก็ไป Check in ห้องพัก ที่ Hop Inn เลย

ที่โรงแรม Hop Inn เลย เป็นโรงแรมมาตรฐาน ที่คล้ายกันทุกจังหวัดที่เข้าพัก แต่คืนวันนี้ฝนตก เลยจะขอไดร์เป่าผม มาเป่าผมให้แห้ง เพราะตากฝน ปรากฏว่าไดร์เป่าผมที่ต้องไปขอที่เคาน์เตอร์หมด แต่ก็ต้องสระผมอยู่ดี

อาบน้ำสระผมรอบแรก เสร็จแล้วก็เดินทางไปที่สถานที่สร้างโรงพยาบาล ระหว่างทางค่อนข้างมืด แต่กลับมีรถบรรทุก นำหน้ารถเราอยู่โดยตลอด คิดได้ว่าเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองนำทาง ไปตลอดจนเกือบถึงงาน ซึ่งตอนแรก ก็คิดว่าฝนตกขนาดนี้ ไม่น่าจะมีคนมางานมาก แต่ด้วยจิตศรัทธาปรากฎว่ามีคนมาร่วมงานมากมายหลายร้อยคน

ส่วนเราพอเข้าไปถึง หมุนวนหาที่จอดรถอยู่หลายรอบ เพราะดินค่อนข้างเป็นโคลนจากฝน จนเกือบจะท้อใจ จนรอบสุดท้ายอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิว่าขอให้จอดรถได้ จึงได้ลงไปร่วมงานขอขมากรรม

นี่ถือเป็นครั้งแรก ๆ ของเราที่เข้าร่วมพิธีกรรมแบบจีน ที่เรียกว่า ไต่ปุ่ยฉ่ำ ซึ่งเป็นพิธีขอขมากรรม เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อภัยโทษและให้พร

งานเสร็จเกือบห้าทุ่ม ไม่ได้อยู่รอการคุยกีต่อ

ขากลับไม่มีรถนำทางมาแบบตอนมา แต่เราเลือกทางกลับทางถนนหลัก

กลับมาที่โรงแรม อาบน้ำ สระผม พักผ่อน

8 พฤศจิกายน 2568

วันนี้กินช็อคโกแลตร้อนและคาปูชิโน่ร้อนที่โรงแรมพร้อมกับขนมปังเมื่อคืนที่ซื้อมา พร้อมกับส้มกับขนมหมั่นโถวมงคลที่ได้จากเมื่อคืนวาน

วันนี้เช็คเอ้าท์เร็ว ออกจากโรงแรมประมาณ 10-11 โมง เพื่อจะไปร่วมงานหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่สถานที่สร้างโรงพยาบาลที่เราไปเมื่อคืนวาน

ก่อนออกเดินทาง เพื่อนที่ลงไปกดตู้กาแฟ มาบอกว่า เจอพี่ ๆ ที่จะไปงานหล่อพระเช่นเดียวกันกำลังจะรอ bolt ให้ไปส่งที่งาน เนื่องจากเรายังแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยไม่กล้าเสนอตัวให้ไปงานร่วมกัน แต่พอรู้แล้วก็รู้สึปได้ถึงคนที่มีใจเป็นกุศล มุ่งมั่นเดินทางกันมาทุกทั่วสารทิศ

แต่ถึงแม้เราจะออกเดินทางค่อนข้างไม่ช้ามาแล้ว แต่ก็ต้องดูคลิป เปาแตรเปิดงานผ่านทางการถ่ายทอดสด ตอนแรกก็ใจเสีย ว่าจะไปทันงานหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไปทันงาน

พอไปถึงงาน ที่จอดรถ มีคนจอดรถยาวออกมาจากปากซอย เราต้องจอดรถไกลออกไปริมถนน และค่อย ๆ เดินไปที่งาน แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาที่มาร่วมงามมากกว่าเมื่อคืนวาน

พอไปถึงหน้างาน เรามุ่งตรงไปเพื่อหวังทำบุญแผ่นทอง หรือก้อนทอง แต่ปรากฎว่าหมดแล้ว แต่เป็นที่น่าแปลกว่า มีเจ้าหน้าที่ ยกเม็ดทอง นาก เงิน ที่ใช้สำหรับการหล่อทองครั้งสุดท้าย แล้วยกมาถามด้านหน้าเราเลยว่า เหลือชุดสุดท้ายแล้วเอาไหม 200 บาท ซึ่งตอนนั้นเรายังม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ก็ได้แต่ตอบรับว่าเอาไว้ก่อน

จากนั้นเราก็ไปที่ด้านหน้าพิธี ไม่ได้จุดธูป และร่วมอธิฐานขอพร ในระหว่างนั้นฝนก็ตกลงมาพรำ ๆ

พออธิษฐานเสร็จ ทางเจ้าหน้าที่หน้างาน ก็มีการประมูลภาพองค์เจ้าแม่กวนอิม และของมงคลต่าง ๆ เพื่อทำบุญ แต่พวกเราไม่ได้ร่วมด้วย

พวกเราไปที่โรงทานเพื่อไปหาน้ำดื่ม เห็นก๋วยเตี๋ยวเจ จึงลองกิน ปรากฎว่า อร่อยมาก_และอาหารโรงทานก็อร่อย เกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยว กินไป 2 ชาม

พอกินเสร็จ ก็พากันไปดูที่บูชาวัตถุมงคล เราก็สองจิตสามใจ ว่าจะเช่าองค์เจ้าแม่กวมอิมหรือไม่ เพราะลองถามเจ้าหน้าที่ดู เขาก็บอกว่าไปปะรำพิธี เราจึงเช่าเฉพาะส่วนของเหรียญเจ้าแม่กวนอิม

จากนั้นก็ไปหาที่นั่ง ปรากฎว่าเราได้ไปนั่งบริเวณที่ทำพิธีเมื่อวาน ซึ่งเป็นบริเวณใกล้ปะรำพิธีพอดี เลยได้เช่าองค์เจ้าแม่กวนอิมตามที่ตั้งใจไว้ แถมได้ทำพิธีวนธูป อธิษฐานเชิญไป แบบจุใจ

เรานั่งรอเวลาสักพัก ก็ถึงเวลาหล่อเจ้าแม่กวนอิม บริวารทั้ง 2 และบริวารของอากงไต่เสี่ยฮุกโจ้ว 2 องค์

จากนั้นเขาก็เริ่มประกาศคนที่มีเม็ดทอง เงิน นาค เพื่อนำไปหล่อองค์ครั้งสุดท้าย คณะเราเลยรีบวิ่งไป ได้ส่งเม็ดเงินทองนาค ไปหล่อเป็นองค์ประกอบของพระโพธิสัตว์ที่หล่อครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ซึ่

เมื่อคิดย้อนกลับไป ก็ตลกตัวเองว่าไม่รู้จัก เม็ดทองเงินนากที่ใช้สำหรับหล่อพระ กะว่าจะเก็บกลับบ้านด้วยซ้ำไป

เราได้เข้าร่วมงานหล่อพระครั้งนี้ ได้เห็นการเชิดมังกรที่ไม่เคยเห็นแบบใกล้ ๆ แบบนี้มาก่อน ในหลาย ๆ เรื่อง

ก่อนจบงาน คุณกมล มือขวาของพิธีคุยกี ได้นำเหรียญเจ้าแม่กวนอิมมาฝากให้ทุกคนที่เข้ามาร่วมงาน พร้อมกล่าวว่าขอบคุณนะครับที่มาร่วมงานกับพวกเรา ซึ่งประทับใจในความนอบน้อม และคำพูดนี้ของคุณกมลมาก ๆ และประทับใจการให้ความรู้ ให้ความสะดวก เท่าที่พอจะให้ได้ ทั้งที่ศาล และที่บริเวณงาน อย่างมาก ขอบคุณมา ณ ที่นี้

พอได้เหรียญพระกวนอิมแล้ว คนข้าง ๆ ที่ไม่ได้มาด้วยกัน เข้ามาถามว่า ได้เหรียญหมายเลขอะไร จึงถือโอกาสได้พูดคุยทำความรู้จักเล็กน้อย ว่า ท่านได้เข้ามาร่วมตั้งแต่เทศกาลกินเจ กับทางศาล 10 วันแล้ว และยังอยู่ที่นี่ต่อจนถึงงาน จากนั้นก็จะรอติดรถกลับบ้าน กับพี่อีกคนหนึ่ง

พอได้ฟังประสบการณ์ความตั้งใจของท่านนี้ ก็เลยรู้สึกว่า ที่เราบินมาลงจ.เลย และเดินทางมาที่หน้างาน โดยการเช่ารถขับมานี่สบายไปเลย เพราะมีทั้งคนจ้าง bolt และคนที่ติดรถคนอื่นมา ก็ยังมีความพยายามมางาบุญกัน

จบงานเดินทางกลับ ค่อย ๆ เดินเหยียบพื้นดินโคลนออกไป จนถึงปากซอยที่ดินสร้างโรงพยาบาล จากนั้นเพื่อนก็อาสาว่าจะไปขับรถมารับที่หน้าปากซอย ตอนรอเพื่อนไปขับรถมา ก็มองเห็นวิวอันสวยงามของที่ดินที่ในอนาคตจะสร้างเป็นโรงพยาบาล ถือเป็นวิวที่งดงามมาก

นอกจากนี้ยังสังเกต คณะเชิดสิงโต และมังกรที่ค่อย ๆ ขนกลอง และอุปกรณ์ต่าง ๆ กลับ ขึ้นรถบรรทุก สังเกตว่ากลองที่ใช้ค่อนข้างเก่า และคณะเชิดสิงโต และมังกรนี้น่าจะมีวิชา และมีครู แต่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้มากนัก หากมีเวลาก็อยากเรียนรู้เหมือนกัน

พอเพื่อนขับรถมา ก็ได้เวลา ขึ้นรถเดินทางต่อไปยังเชียงคาน ระหว่างนั้ ฝนก็ยังตกพรำ ๆ เดินทางอีกไม่นานก็ถึงอ.เชียงคาน ขับรถมาจนสุดถนนริมแม่น้ำโขงแล้ว จึงเลี้ยวขวา ไปยังถนนที่ขนากับถนนคนเดินเชียงคาน แล้วเลี้ยวเข้าไปหาที่พักอีกที ตอนไปถึงเป็นเวลาสี่โมงครึ่ง โชคดีที่ถนนคนเดินยังไม่ปิด เพราะจะปิดตอนห้าโมงครึ่ง

เรานั่งรถหา จนเจอที่พัก ซึ่งที่เลือกที่พักนี้ เนื่องจากมีที่จอดรถของโรงแรมเอง อยู่ตรงข้าม บ้านยายนวย ริมโขง

ที่จอดรถของโรงแรมอยู่ในซอยเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน ซึ่งขับรถไปจอดค่อนข้างยาก แต่ก็พอจอดได้ ตอนเข้าไปที่จอดรถ พนักงานของโรงแรม เข้ามาช่วยดูแล และยังให้ร่มเราไว้ใช้ตอนลงจากรถ ส่วนตัวพนักงานวิ่งคลุมหมวกสเว็ตเตอร์ กลับไปรอรับแขกหน้าโรงแรมต่อ ซึ่งในส่วนตรงนี้ ขอขอบคุณพนักงานอย่างมาก ที่มีใจบริการ

พอจอดรถได้แล้ว ก็ค่อย ๆ ถือกระเป๋าเสื้อผ้ามา check in ปรากฎว่ามีลูกค้าอีกหนึ่งคู่ เข้ามาเช็คอินก่อนหน้าเรา เราจึงต้องนั่งรอให้เขาเช็คอินให้เสร็จ ซึ่งต้องใช้เวลาเพราะโรงแรมนี้เสนอโปรโมชั่น ถ้ารีวิวและเช็คอิน google map และ facebook จะได้รับส่วนลด 500 บาท ซึ่งเราก็รับขอเสนอนี้ของโรงแรมเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาในการเช็คอินอยู่สักพัก

หลังจากเช็คอิน เราได้ห้องที่อยู่ด้านหน้า สำหรับห้องที่ได้ ถือว่าราคาแพงกว่าสิ่งที่ได้รับ แต่ที่เราเลือกโรงแรมนี้เป็นเพราะมีที่จอดรถของโรงแรม และตามที่คุยกันคือ สามารถออกใบกำกับภาษี นำมาลดหย่อนเที่ยวดีมีคืนได้ แต่ด้วยความที่สื่อสารกันผิดพลาด ปรากฎว่าโรงแรมไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่พนักงานก็พยายามหาเอกสารมาประกอบให้เรา ซึ่ง ณ จุดนี้ เราก็ยังไม่แน่ใจว่า ค่าโรงแรมที่นี่ จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้หรือไม่

สำหรับในเรื่องการให้บริการของโรงแรม โดยเฉพาะเรื่องการจองที่พักทางไลน์นั้น จริง ๆ อยากให้ปรับปรุงเรื่องการสื่อสาร รวมไปถึงการเสนอโปรโมชั่นต่าง ๆ เนื่องจากเราได้รับเสนอโปรโมชั่น และจ่ายเงินก่อน แต่กลับได้รับส่วนลดน้อยกว่า โปรโมชั่นที่ออกมาใหม่ ซึ่งเราได้ท้วงติงไปทางพนักงาน ๆ จึงเสนอมอบเป็นชุดใส่บาตรให้ 1 ชุดแทน มูลค่า 100 บาท ซึ่งดูเหมือนว่าจะจบ แต่สำหรับเราคือ การที่พนักงานรับจองทางไลน์บอกว่าต้องออกเงินสดเองเพื่อจ่ายค่าชุดใส่บาตรให้เรา และการเปรียบเทียบกับโปรโมชั่น ว่าการออกโปรโมชั่นในแต่ละช่วงเวลานั้น เป็นเรื่องที่พบเจอได้ปกติ กลับทำให้สิ่งที่ความพยายามของโรงแรมในการจะทดแทนความรู้สึกเรามันหายไป

ถ้าเป็นเช่นนั้น ทางโรงแรมควรแจ้งมาเลยว่า ขออภัย ไม่สามารถให้ส่วนลดได้อีก ยืนยันว่าลูกค้าได้โปรโมชั่นตามที่จองมา แม้จะเสียความรู้สึก แต่เราก็จะเข้าใจว่ามันเป็นมาตรฐานของโรงแรมมากกว่า

รวมไปถึงการสื่อความว่า จะออกใบกำกับภาษีเพื่อนำไปลดหย่อนได้ ซึ่งเราแจ้งวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนแล้ว แต่ทางโรงแรมใช้คำว่า สามารถออกใบเสร็จรับเงินได้ แทน เพื่อให้เกิดความสับสน

สำหรับในเรื่องห้องพัก เรามีความเห็นว่าค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับราคาที่จอง ในห้องแม้จะสะอาด สามารถยืมไดร์เป่าผมมาได้ แต่ที่สำคัญคือ มียุง และมีเสียงดังในตอนกลางคืน เนื่องจากเราได้ห้องที่อยู่ด้านหน้า ในตอนกลางคืน จะมีการแสดงดนตรีสด เสียงดัง

ส่วนความสะอาดและเรื่องอื่น ๆ ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง สำหรับคำจำกัดความของโรงแรมนี้ สำหรับเราคือ เมื่อความพยายามมากเกินไป กลายเป็นไม่ได้มาตรฐาน ควรสร้างมาตรฐานที่ดี ดีกว่า และ รีวิว พร้อม check in ใน facebook และ google map มันสามารถ ปั่นได้ ด้วยส่วนลด ดังนั้น จะใช้บริการร้านอาหาร หรือโรงแรมที่มีรีวิวดี ๆ ก็อย่ามั่นใจเสมอไป

จบเรื่องโรงแรม พอเราเข้าห้องพัก อาบน้ำ สระผม แต่งตัวใหม่ ก็ถึงเวลาเดินเล่นตลาดคนเดินเชียงคาน

สำหรับเราตลาดคนเดินเชียงคาน มีหลาย ๆ ร้านที่ค่อนข้างขายอาหารแพง ราคาพอ ๆ กับในกรุงเทพ เช่น กุ้งแพ 80 บาท ลูกชิ้น ไส้กรอก ไม้ละ 20 บาท เกี๋ยวไฟลุก 9 ชิ้น ราคา 100 บาท น้ำแตงโมปั่น (ไม่รับคนละครึ่ง) แก้วละ 60 บาท

สำหรับเราในคืนแรก ได้ลองกินข้าวเปียกเส้น และเกี๊ยวไฟลุกในร้าน เพราะตอนแรกจะสั่งแล้วเดินกิน แต่เห็นในร้านว่างอยู่ เลยขอเข้าไปกินในร้าน ซึ่งร้านนี้ พนักงานในร้าน หรือเจ้าของร้านไม่แน่ใจ พูดจาดี แม้มีความกดดันจากลูกค้า ที่รอคิวอยู่ เราสั่งข้าวเปียกเส้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้กินในทริปนี้ และเกี๊ยวไฟลุก รสชาติพอใช้ มาแบบเกรียม ๆ หน่อย ๆ เพราะโดดไฟลุกมา ถือว่าโดยรวมรสชาติปานกลาง ร้านนี้รับคนละครึ่ง ถ้าคิดราคาปกติ ถือว่าไม่ถูก แต่พอได้ราคาคนละครึ่งมา ก็ดูดีขึ้นมา โดยรวมร้านนี้ขอชื่นชมเรื่องการพูดจาของพนักงานหรือเจ้าของร้าน และการรับจ่ายคนละครึ่งได้ รสชาติอาหารพอใช้

จบจากการกินอาหารจริงจัง ก็เดินเที่ยวถนนคนเดินเชียงคานต่อ ตอนขาเดินมายังไม่ซื้ออะไร แต่เล็ง ๆ ไว้ว่าจะซื้อ ทั้งทอดมัน ผัดไทย กุ้งและหอยเสียบไม้ปิ้ง แต่พอกินอาหารหลักอิ่มแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากกินอะไรต่อ เดินไปจนถึงแถว ๆ หน้าโรงแรม แวะซื้อข้าวโพดอบเนย 1 ถ้วย ราคา 30 บาท รับคนละครึ่ง และร้านแตงโมปั่นหน้าโรงแรม ในราคา 60 บาท ไม่รับคนละครึ่ง นำมากินบนชั้น 2 ของโรงแรมต่อ

น้ำแตงโมอร่อยดี แต่ราคาพอไม่ได้คนละครึ่งก็รู้สึกว่าแพงไปหน่อย ส่วนข้าวโพดอบเนย รสชาติและราคาปานกลาง ในระหว่างกินน้ำแตงโมปั่น ก็ดูวิวถนนคนเดินเชียงคานและถ่ายรูปไปด้วย

มาเที่ยวเชียงคานครั้งนี้ ฝนตก ๆ หยุด ๆ แต่คืนที่พักเป็นคืนวันเสาร์ คนเดินค่อนข้างเยอะ

พอกินขนมและของกินเล่นหมดแล้วก็เข้าห้องพัก พร้อมย้ำกับเพื่อนว่า พรุ่งนี้เรามีนัดกันมาใส่บาตรตอน 6 โมงเช้านะ ก่อนนอนกว่าจะนอนได้ ก็ต้องทนกับเสียงดนตรีสดที่ค่อนข้างดัง กับการแสดงดนตรีสดที่อยู่ตรงข้าม

ห้องพักมียุงบินไปมา นอนหลับไม่ค่อยสนิท ตลอดคืน

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568

เพื่อนปลุกตอน 5.50 น. เพราะมีนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะใส่บาตรด้วยกัน ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วรีบเดินลงไป เห็นด้านหน้าฝั่งตรงข้ามโรงแรม มีคนปูเสื่อ และเตรียมเครื่องใส่บาตรรอไว้อยู่แล้ว แต่ฝั่งโรงแรมของเราไม่มีการเตรียมการอะไรสำหรับคนใส่บาตรไว้ เราจึงต้องข้ามฝั่งไปเลือกชุดใส่บาตร ทุกชุด ราคา 100 บาตร

นี่เป็นครั้งแรกที่เราตักบาตรข้าวเหนียว ในชุดตักบาตร มีข้าวเหนียวให้ 1 กระติ๊บ และกับข้าวให้ 2-3 อย่าง น้ำเปล่า 1 แก้วแพคเล็ก ขนมประมาณ 3-4 ชิ้น และดอกไม้

เรายืนถ่ายรูปบรรยากาศการตักบาตรข้าวเหนียว รู้สึกว่าได้ความเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มากกว่าสัมผัสได้ถึงความเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น เพราะมีแต่นักท่องเที่ยว เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ คนมาเที่ยวค่อนข้างมาก ทุกอย่างเลยเน้นไปทางบรรยากาศสำหรับนักท่องเที่ยวมากกว่า

ถ่ายรูปอยู่สักพัก พระท่านก็เริ่มเดินมาบิณฑบาตร เวลานั้น ทางฝั่งโรงแรมของเรา เลยเริ่มเอาเสื่อมาปูให้ สรุปว่า วันนั้นมีแค่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเรา และนักท่องเที่ยวที่เป็นคู่ อีกคู่หนึ่ง

เมื่อพระเดินบิณพบาตรมา เราก็เริ่มใส่บาตรข้าวเหนียว ซึ่งในชุดมีถุงมือ ให้หยิบข้าวเหนียวใส่บาตรได้ การใส่บาตรข้าวเหนียวครั้งแรกของเราคิดย้อนไปก็ตลกดี เพราะ ตอนเหราะมายืนรับบาตร พวกเรายังต้องถามเลยว่าทำอย่างไร ส่วนพระท่านก็แนะนำสั้น ๆ ว่า ให้หยิบข้าวเหนียวใส่มาในบาตร

จากนั้น เราก็จะใส่กับข้าวอย่างหนึ่ง ขนมอย่างหนึ่ง เล็ก ๆ น้อย ๆ

สรุปว่าของตักบาตร ไม่จำเป็นต้องใส่บาตรในครั้งเดียวให้หมด ค่อย ๆ ปั้นข้าวเหนียวน้อย ๆ ใส่บาตร และเลือกกับข้าว ขนม น้ำ ใส่บาตรพระทีละเล็กละน้อยได้หลายองค์ จนหมด

ใส่บาตรจนของใส่บาตรหมดแล้ว จึงเริ่มเดินถ่ายรูปดูบรรยากาศ เดินไปจนถึงร้านอาหารที่ได้คูปอง 50 บาทมาเพื่อกินอาหารเช้า แต่เนื่องจากไม่ได้เอาคูปองมา เลยต้องเดินกลับไปโรงแรมใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน

ระหว่างทางขากลับ แวะไปดูร้านซักผ้า ซึ่งอยู่ในซอยที่ขนานไปกับถนนคนเดิน ตั้งใจว่ากลับที่พักแล้วจะนำผ้ามาซัก และแวะไปทานข้าว

ปรากฎว่า พอกลับไปถึงที่พักจริง ดูเวลาแล้ว พวกเราเลยตัังใจว่าจะไปกินข้าว จากนั้นกลับมาอาบน้ำ แล้วค่อยไปซักผ้า

สำหรับคูปองที่ได้มาจากโรงแรม ในราคาคนละ 60 บาทนั้น เป็นของร้านแม่งามอิ่มอร่อย อยู่ริมถนนคนเดิน ฝั่งเลียบแม่น้ำโขง โดยที่ร้านจะมีโต๊ะนั่ง ติดริมสามารถดูวิวได้อยู่ 3 โต๊ะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเต็มตลอด เพราะได้เห็นวิวแม่น้ำโขงที่ชัดเจน

ในช่วงที่พวกเราไป โต๊ะทั้ง 3 ไม่ว่าง ได้แต่เขยิบออกมา นั่งโต๊ะข้าง ๆ ที่ใกล้ที่สุด แล้วจึงเริ่มสั่งอาหาร ซึ่งพวกเราก็ทดลองสั่งทั้งโจ๊ก ข้าวเปียกเส้น ขนมปัง ไข่กระทะ ส่วน เครื่องดื่ม จะมีเป็นกาแฟ 3 in 1 และโอวันตินให้

สำหรับรสชาติ รีวิวโดยเพื่อนเรา บอกว่า โจ๊กอร่อย ต้องสั่งมาอีกชาม ส่วนข้าวเปียกเส้น มีรสชาติที่เค็มไปหน่อย ขนมปัง ซึ่งรอค่อนข้างนาน อร่อย เป็นรูปแบบขนมปังเวียดนาม มีไส้กุนเชียงและหมูยอฝั่งละครึ่ง ซึ่งพวกเราสั่งกันมาตอนหลังเพราะอยากลอง ราคาชิ้นละ 20 บาท ส่วนไข่กระทะ รสชาติทั่วไป

รออาหารค่อนข้างนาน เนื่องจากเป็นเช้าวันอาทิตย์ นักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก

ส่วนน้ำแข็งเปล่ามีให้บริการ และเปิดน้ำดื่มขวดที่วางอยู่ที่โต๊ะได้เอง

กินเสร็จ สามารถเรียกให้คิดเงิน และไปจ่ายคนละครึ่งที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินด้านหน้าได้

พนักงานของร้านจะคิดส่วนที่เป็นการจ่ายด้วยคูปอง 60 บาท จำได้ว่า เราสั่งเกินไปต้องจ่ายเพิ่ม 90 บาท

กินข้าวเช้าเสร็จ กลับที่พัก รีบมาอาบน้ำแต่งตัว เก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ตั้งใจว่าจะไปที่ร้านซักผ้า แต่พอถึงเวลาจริง เห็นข้อมูลใน google map เขียนว่า ถ้าจะขึ้นภูทอก ควรขึ้นภายใน 10.00 น. เดี๋ยวทางขึ้นปิด พวกเราเลยตัดสินใจบึ่งรถกันไปที่ภูทอกเสียก่อน

ถึงภูทอก ก่อน 10.00 น. เล็กน้อย รีบหาที่จอดรถ ซึ่งต้องระวังเพราะมีที่จอดรถอยู่ด้านนอก หากเผลอเลี้ยวเข้าไป กว่าจะเดินถึงที่จอดรถขึ้นภูทอก จะค่อนข้างไกล ส่วนเราเนื่องจากปสายแล้ว ที่จอดรถ จึงเข้าไปจอดได้ด้านในสุด

พอหาที่จอดรถได้ ก็มีคนมาเก็บเงินค่าที่จอดรถ 20 บาท ซึ่งเพื่อนเราก็ให้ไป แล้วมาบ่นว่า ไม่รู้ว่าของจริงของปลอม ใช่เจ้าของที่จอดรถหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ให้ ๆ ไป ให้จบ ๆ

พอวิ่งไปที่ที่จอดรถขึ้นภูทอก รีบถามว่ามีรถขึ้นไหม จะปิดหรือยัง ได้ความว่า รถขึ้นได้ถึงช่วงบ่าย ๆ ไม่ต้องรีบ เราบอกว่าเราดูใน google map มาว่าต้องขึ้นก่อน 10.00 น.ซึ่งไม่จริง พอได้ยินแบบนั้นเลยสบายใจ ขอเพื่อนว่าขอไปเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเสียค่าเข้า 5 บาท แล้วออกมาซื้อค่ารถขึ้นภูทอกอีกคนละ 40 บาท รวมค่ารถไปกลับ

จริง ๆ แล้วทางขึ้นภูทอก รถสามารถขึ้นไปได้ แต่ทางชุมชนจัดระเบียบให้จอดรถด้านล่าง และขึ้นรถกระบะขึ้นไปด้วยกัน ซึ่งความเห็นส่วนตัวของเราเห็นว่าดีแล้ว เพราะบนภูมีที่จอดรถน้อย ถ้ารถทุกคันขึ้นไปคงรถติด ไม่มีที่จอดรถ อีกประการคือ เป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชม เพราะบริเวณที่จอดรถขึ้นภูทอก จะกลายเป็นสถานที่คนในชุมชนจะนำสินค้ามาขาย รวมไปถึง สร้างรายได้ให้คนที่เป็นเจ้าของรถกระบะ ที่ขึ้นภูทอก

สำหรับทางขึ้นภูทอก ก็ถือว่าเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ทางขึ้นค่อนข้างชัน แต่ไม่มาก นั่งบนหลังรถกระบะ สัมผัสบรรยากาศได้ไม่นาน ก็ถึงยอดภู

พอถึงยอดภู ในตอนแรก เราคิดว่าคงไม่เห็นหมอกแล้ว แต่ปรากฎว่า เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างสวย เห็นหมอกไกล ๆ ฟ้าค่อนข้างใส ถ่ายรูปเห็นได้ชัด ถือเป็นช่วงเวลาเหมาะสำหรับคนชอบถ่ายรูปแบบฟ้าใส เห็นหมอกอยู่ไกล ๆ แม้จะไม่ได้เห็นทะเลหมอกกว้าง ๆ ประมาณทะเลหมอก แต่ภูทอก ตอนประมาณ 10 โมงเช้าก็ยังสวยอยู่ และเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวสำหรับคนไม่ขยันตื่นเช้า

เราถ่ายรูปดูวิวทั่ว ๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ดูได้รอบ ๆ บนภู สิ่งที่น่าประทับใจคือจากบนภูทอก สามารถถ่ายภาพเห็นแก่งคุดคู้ที่อยู่ด้านล่าง

บริเวณบนภูก็มีการจัดมุมถ่ายรูปหลาย ๆ จุด ที่น่าสนใจ คือ จะมีประโยคที่ว่า ฮอดแล้วเด้อ ซึ่งตอนแรกเราไม่เข้าใจความหมาย มาเปิดหาความหมายอีกที จึงเข้าใจว่า เป็นภาษาอีสานที่แปลว่า ถึงแล้วนะ ภูทอก

สำหรับมุมถ่ายรูปที่เราชอบมาก และอยู่ค่อนข้างนาน คือมุมภูเขาที่ยังมีหมอกอยู่ และมุมคุ้งน้ำที่เห็นแก่งคุดคู้ ถือได้ว่าบนภูทอกมีมุมถ่ายรูปอยู่หลายมุม

ก่อนลง เรายังได้แวะไหว้พระ ที่เห็นตั้งแต่ทางขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ได้แวะไป

พระพุทธรูป คือศูนย์รวมใจของคน การมีพระพุทธรูป สำหรับเราแล้วถือว่าทำให้ภูทอก ไม่ใช่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นที่แวะไหว้พระ และถือเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านอีกด้วย

ก่อนลงจากภูทอก เราแวะห้องน้ำบนภู ซึ่งต้องเดินลงไปอีกหน่อย สภาพห้องน้ำ ต้องเข้าใจว่าเป็นห้องน้ำบริเวณบนภู คงไม่ได้สะอาด หรือดีมากนัก แต่การเดินไปห้องน้ำ ก็ทำให้เราได้โอกาสเดินลงจากภูลงไปเล็กน้อย และเดินกลับขึ้นมาเพื่อขึ้นรถกระบะกลับ ซึ่งกลายเป็นว่า ทำให้เราได้เหมือนเดินป่า ลงจากเขาและขึ้นเขาเล็ก ๆ ให้บรรยากาศได้ออกกำลังกายหน่อย ๆ

พอกลับจากห้องน้ำ ก็ขึ้นรถกระบะกลับ ลงมา และขับรถต่อไปยังแก่งคุดคู้ต่อ

แก่งคุดคู้ กับประวัติศาสตร์

แก่งคุดคู้ คือบริเวณโค้งน้ำแม่น้ำโขงที่โค้งเข้ามาทางฝั่งไทย ขับรถจากภูทอกมาไม่ไกล ก่อนมาที่แก่งคุดคู้ เราไม่เคยได้ยินตำนานเรื่องแก่งคุดคู้มาก่อน เพิ่งมาได้ยินแว่ว ๆ ว่าที่แก่งคุดคู้มีตำนาน

พอถึงแก่งคุดคู้ หาที่จอดรถได้ และเดินเข้าไปในสถานที่ เราก็ถ่ายรูปกับหลักกิโลเมตร แก่งคุดคู้ กิโลเมตรที่ 0 จากนั้น พอเดินไปทางขวา ก็จะพบกับรูปปั้นนายพรานที่เป็นที่มาของเรื่องเล่าแก่งคุดคู้ ซึ่งจะนำไปเล่าในตอนแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแทน

รูปปั้นนายพราน ยิงหน้าไม้ ไปทางเวิ้งแม่น้ำโขง หันหน้าไปทางฝั่งประเทศลาวพอดี เพื่อนเราก็พูดขึ้นมาเล่น ๆ ว่า สงสัยเป็นการแก้ฮวงจุ้ย ส่วนเราก็ไปถ่ายรูปหน้ารูปปั้นนายพราน และเปิดหาประวัติของนายพรานและเรื่องแก่งคุดคู้และเล่าให้เพื่อนฟังไปด้วยเพื่อเพิ่มบรรยากาศ

แก่งคุดคู้เป็นเวิ้งน้ำของแม่น้ำโขง ที่กินเข้ามาทางฝั่งไทยพอดี ซึ่งเมื่อก่อนคงกินดินแดนไทยให้หายไป ภายหลังมีการวางก้อนหิน และเทคอนกรีต น่าจะช่วยลดการสูญหายของพื้นที่ที่ถูกกัดเซาะของแม่น้ำโขงได้

บริเวณแก่งคุดคู้ มีคนแต่งหน้ากากเป็นรูปผีตาโขน มาเต้นรับนักท่องเที่ยว ซึ่งในตอนนั้นเกือบเที่ยงแล้ว เราจึงไม่มีอารมณ์หยุดฟัง หรืออยู่ดูมากนัก เพราะมัวแต่มองหาร้านอาหารมากกว่า

แต่เพื่อนที่ไปด้วยกันมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า ผีตาโขนเต้นสนุกดี แถมเปิดเพลงสนุก ๆ ชื่อเพลงเอาเปล่า ประกอบการเต้นที่สนุกสนาน

ฝ่ายเรามองหาร้านอาหาร แต่ยังไม่มีที่ถูกใจ พอเห็นรูปปั้นเล่าเรื่องราวการเกิดขึ้นของแก่งคุดคู้ จึงถ่ายรูปไว้ และชวนเพื่อเดินทางไปกันต่อ กะว่าจะไปหาร้านอาหารเอาข้างหน้า

ซึ่งจุดต่อไปของเรา คือ วัดท่าแขก สักการะ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ก่อนไป ได้ข่าวว่า คุณสนธิ แห่งนิตยสารผู้จัดการ เป็นประธานทอดกฐินที่วัดนี้ ส่วนเรารู้จักวัดนี้ จากคลิป คําทํานายหลวงปู่ชอบ โดยครูบากล้วย และจากที่ครูบากล้วยพามาที่วัดท่าแขก เล่าเรื่องพญานาคที่วัดนี้

เขาไปจอดรถในวัด พบกับรูปปั้นขนาดใหญ่ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม และโบสถ์ลักษณะชั้นเดียว สไตล์อีสาน เหนือ ที่โดดเด่น

เราไปไหว้สักการะพระในโบสถ์ โอนเงินทำบุญแล้ว ออกมาถ่ายรูปโบสถ์ด้านนอก จากนั้นจึงออกมาไหว้รูปปั้นของ หลวงปู่ชอบ ตอนแรกเพื่อนจะชวนกลับ แต่เราชวนเดินทางไปทางริมแม่น้ำโขงต่อ เพื่อไหว้รูปปั้นหลวงปู่ชอบ และพญานาค ก่อนกลับ

ด้านฝั่งตรงข้ามรูปปู่ชอบที่ริมน้ำโขง มีซุ้มของป้าขายสมุนไพร ประเภทยาหม่อง ยาสระผม คอยถามไถ่นักท่องเที่ยวว่ามาจากไหน และเล่าประวัติของพญานาค 2 ตน ให้ฟัง พร้อมชวนเราซื้อ เราสนใจยาหม่อง แต่ราคาค่อนข้างแพง 100 บาท เมื่อพิจารณาแล้วว่า อาจมีปัญหากับน้ำหนักโหลดขึ้นเครื่องตอนขากลับ เลยไม่ได้ซื้อ

ตอนขากลับ ได้เดินผ่านศาลาซึ่งมีพระสงฆ์และชาวบ้าน เสวนากันอยู่ ฟังคร่าว ๆ ท่านกำลังเล่าเรื่องสวรรค์ชั้นยามา ฯลฯ ใจจริงอยากจะเข้าไปฟังต่อ แต่เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เลยต้องขอผ่าน

อีกประการที่พบเห็นคือ ชาวบ้าน และคนทั่วไป ที่เข้ามาหาเหรียญหลวงปู่ชอบ ซึ่งเราก็ไม่ได้แวะดูอีกเช่นเคย

ออกจากวัดท่าแขก ยังคิดไม่ออกว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่ไหน เลยตกลงว่าจะขับรถกลับไปยังตลาดถนนคนเดินเชียงคานก่อน และเอาเสื้อผ้าที่ตั้งใจว่าจะไปซัก ไปแวะร้านซักผ้า ฝากซํกไว้ เสือค่ายักเสื้อผ้าไป 140 บาท จากนั้นเราก็ค้นหาใน google map อย่างเร็ว ๆ จนเลือกได้ร้านสมายด์ @ เชียงคาน ซึ่งมีที่จอดรถสำหรับลูกค้า และมีคอมเม้นท์รีวิวค่อนข้างดี

ซึ่งพอไปจอดรถที่ด้านหลัง และเดินเข้าไปในร้าน ซึ่งพวกเราเป็นลูกค้ากลุ่มที่ 2 โดยในร้านมีชาวต่างชาติ นั่งรออาหารอยู่แล้วอีก 1 โต๊ะ ทั้งหมด รวมถึงเรา เลือกโต๊ะภายนอกใกล้ริมน้ำโขง

ร้านนี้ดีมาก ทั้งในแง่ของรสชาติอาหาร การบริการของพนักงาน บรรยากาศ แม้ว่าราคาจะสูงอยู่สักหน่อย แต่ก็คู่ควรกับราคา ถือเป็นร้านอาหารที่เรากล้าแนะนำ หากไปเที่ยวที่เชียงคาน

รวมไปถึงการออกใบกำกับภาษี ก็สามารถออกได้ง่าย พนักงานให้บริการเติมน้ำ และคอยยืนดูแลอยู่ตลอด โดยไม่เลือกว่าเราเป็นคนไทย แล้วจะให้บริการชาวต่างชาติดีกว่า พนักงานของร้านค่อนข้างตอบสนองต่อการเรียกอย่างรวดเร็ว ที่ผิดหวังตอนนี้ที่คิดออกคือ น้ำปั่นที่เราสั่ง ใส่แก้วพลาสติกมา ดูไม่สวยงาม แม้ว่าเราจะนั่งกินในร้าน ควรจะใส่แก้วสวย ๆ มาให้เรามากกว่า แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว อื่น ๆ ถือได้ว่าดีเยี่ยม แต่เตือนอีกครั้งว่า ราคาอาหารค่อนข้างแพงเล็กน้อย

หลังจากกินข้าวเสร็จ เรากับเพื่อนตัดสินใจขับรถต่อไปยังสกายวอร์คเชียงคาน ขับรถวิ่งตรงยาวเลียบลำน้ำโขงไปต่อ ผ่านฟาร์มแกะเชียงคาน หาดนางคอย สถานทีเล่นน้ำ ริมแม่น้ำโขง จนถึงทางเลี้ยวเข้าต่อไปยังที่จอดรถสกายวอร์คเชียงคาน

ตอนแรกเราไม่ค่อยคาดหวังกับสกายวอร์คเชียงคานเท่าไหร่ จนได้เข้ามาเยื่ยมชมจริง ต้องขอชื่นชนคนในพื้นที่ชุมชน ที่จัดการสถานที่ และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ดีมาก ๆ เริ่มต้นตั้งแต่สถานที่จอดรถกว้างขวาง ทางเข้าออกกว้างรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก มีระบบขายตั๋วขึ้นรถต่อไปยังสกายวอร์ค ราคาเพียงคนละ 60 บาท จ่ายเงินแล้ว ก็รับถุงเท้าคนละคู่ นำไปสวมเดิมบนกระจกสกายวอร์คด้านบน

พอขึ้นไปด้วยรถสองแถวแล้ว นั่งได้ไม่นาน ก็ถึงด้านบน ชาวบ้านที่เป็นเจ้าหน้าที่แต่งตัวด้วยท่าทางน่าเชื่อถือ และพร้อมจะให้คำแนะนำ

พอลงรถสองแถวแล้ว มีซุ้มให้บูชาคู่ดอกไม้ใบตองเพื่อนำไปถวายพระก่อนขึ้นสกายวอร์ค แนะนำว่า บูชาไปเถอะ ทำบุญเท่าไรก็ได้ จะได้กรวยบูชามาเป็นคู่ กรวยบูชานี้เรียกว่าอะไรจำไม่ได้ แต่สังเกตได้ว่าชาวบ้านทำเองอย่างสวยงาม

เมื่อได้ของบูชาแล้ว ก็มุ่งตรงไหว้พระพุทธรูปประจำสกายวอร์คเสียก่อน ด้านบนมีคำกล่าวบูชาพระบรมสารีริกธาตุด้วย พอสักการะพระพุทธรูปเสร็จ เราก็สวนถุงเท้าทับรองเท้าที่ใส่ได้เลย และเริ่มต้นเดินบนสกายวอร์คและถ่ายรูปไปเรื่อย

วิวที่สกายวอร์คสวยงาม ในระหว่างนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไป มีกลุ่มผู้สูงอายุขึ้นไปหลายกลุ่ม แต่ละท่านก็ออกแบบท่าทางถ่ายรูป ทั้งถ่ายจากมุมบน เพื่อให้ทะลุกระจกลงไปด้านล่าง รวมถึง การถ่ายภาพในระยะไกล มองไปเห็นวิวแม่น้ำโขงที่อยู่แต่ไกล

ที่ตลกก็คือ เพิ่งรู้ว่าเพื่อนที่ไปด้วย เป็นคนกลัวความสูง จึงต้องค่อย ๆ เดินไปตามขอบกระจก ส่วนตัวเราแค่ไม่มองลงไปข้างล่าง ก็รู้สึกเหมือนเดินบนสะพานไปตามปกติ

เราเดิน ๆ นั่ง ๆ ถ่ายรูปจนพอใจแล้ว จึงเดินออกจากสกายวอร์ค และนำถุงเท้าไปคืนเจ้าหน้าที่ด้านบน จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินไปเข้าห้องน้ำ ปรากฎว่า ทางเดินไปเข้าห้องน้ำด้านบนสกายวอร์ค ทำให้เราได้เห็นมุมสวย ๆ ให้ได้ถ่ายรูปอีกมุมหนึ่ง

จากนั้น เดินไปขึ้นรถสองแถวกลับลงมา บนรถ พี่ที่นั่งมาด้วยกัน บอกว่า ของไทย ใจป้ำกว่า เพราะที่จีนมีเพียงจุด ๆ เดียว แต่ของไทยส่วนที่เป็นสะพานกระจกกว้างกว่า

รถสองแถวได้ขับผ่าน และหยุดจอดตรงปางช้าง มีคนมาเรียกเผื่อว่าใครอยากจะแวะชมช้างเผือก แต่ที่คันของเราไม่มีใครลง

รถสองแถวขับต่อมาตรงใกล้สถานที่ลานจอดรถ และบอกให้ลง เพื่อให้เราแวะเดินซื้อของในตลาดใกล้ ๆ เนื่องจากพี่ที่นั่งมาด้วยกัน อยากลองชิมไอศครีมอะโวคะโด ชิมไปชิมมา ปรากฎว่า น่าจะทุกคนที่นั่งมาด้วยกัน ได้ลองชิม ซึ่งรสชาติอร่อยดี ได้ไอศครีมอะโวคาโด 2-3 ลูกเล็ก ๆ ในราคา 30-40 บาท

กินไอศครีมอะโวคาโด้หมดแล้ว ก็ขับรถกลับไปถนนคนเดินเชียงคาน กลับที่พัก ก่อนถึงโรงแรมก็แวะเอาเสื้อผ้าที่ฝากซักไว้ที่ร้านซักผ้า ก่อนเข้าถึงโรงแรม ประมาณ 4-5 โมงเย็น ก่อนที่ถนนคนเดินจะปิดเวลา 17.30 น.

เย็นวันนี้ เราแวะซื้อของกินเล่น น้ำ ขนม ขึ้นไปกินที่โรงแรม พร้อมกับเก็บของ และเข้าพักค่อนข้างรวดเร็ว

10 พ.ย. 2568

วันนี้เป็นวันจันทร์ เราตื่นค่อนข้างสาย หยิบคูปองอาหารเช้า เพื่อเดินไปร้านแม่งามอิ่มอร่อย พอออกจากโรงแรม เราชวนเพื่อนให้เดินไปทางขวา ไปทางลานพญานาคและจุดชมวิว ซึ่งอยู่ใกล้วัดท่าคก ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้า มาตั้งขายชุดใส่บาตรอยู่พอสมควร

ในเช้าวันนี้ เพื่อนชวนให้แวะร้านขายข้าวจี่ เพื่อนำไปใส่บาตรแทน แถมยังซื้ออีกไม้หนึ่งมาทดลองกินเอง หลังใส่บาตรเสร็จแล้ว

น่าแปลกคือ รอบนี้ พระที่เราใส่บาตร ให้พรเราทุกองค์ จนเพื่อนเราบอกว่า สงสัยพระท่านน่าจะชอบข้าวจี่ อาหารพื้นเมืองมากกว่าชุดใส่บาตรที่ซือจากพ่อค้าแม่ค้า เพราะกินได้จริงมากกว่า

พอซื้อข้าวจี่แล้ว พวกเราก็เดินไปทางร้านแม่งาม เพื่อไปกินอาหารเช้า วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ทำให้โต๊ะริมแม่น้ำโขงว่างให้เราไปนั่งชมวิวได้

เมนูอาหารเช้าวันนี้ เรายังสั่งเหมือนวานนี้ แถมด้วยการกินข้าวจี่ที่ซื้อมา แต่วันนี้ไม่ได้สั่งขนมปังมากินด้วย กินอาหารเช้าเสร็จเดินไปจ่ายเงินด้วยคนละครึ่งเช่นเดิม แล้วจึงเดินกลับไปยังที่พัก อาบน้ำแต่งตัว และเช็คเอ้าท์

ในตอนเช็คเอ้าท์ไม่มีเจ้าหน้าที่โรงแรมอยู่ที่เค้าน์เตอร์ เราจึงวางกุญแจ และไดร์เป่าผมที่ยืมมาวางไว้ที่เคาน์เตอร์ และแจ้งเช็คเอ้าท์ทางไลน์ จนเกือบออก เจ้าหน้าที่ก็วิ่งมาพร้อมกับมาส่งเราได้ทัน

จากโรงแรมที่เชียงคาน วันนี้ เราจะต้องผ่านทางถนน 2399 ไปยังอ.ภูเรือ จ.เลย

จากที่ทำการบ้านมา ถนน 2399 เป็นถนนที่มีการแจ้งเตือนเรื่องความลาดชัน และการผิดเพี้ยนเรื่องการใช้ GPS นำทางแต่พอได้เดินทางจริง ๆ เรากลับคิดว่าเส้นทางก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แถมระหว่างทาง เราแวะเทน้ำ ล้างกระจกรถยนต์จนสะอาดเพื่อถ่ายคลิปไว้ด้วย

เราถึงภูเรือประมาณก่อนเที่ยง ตามแผนคือ ไปกินข้าวที่ภูเรือโภชนา

ที่ภูเรือโภชนา อยู่เลยจาก ปตท. ไปนิดเดียว มีที่จอดรถเยอะ สามารถรับคณะทัวร์ใหญ่ ๆ ได้ เราได้สั่งอาหารแนะนำมา 2 อย่าง คือ ผัดเห็ดหอม และต้มยำปลาคัง และเติมด้วยไข่เจียวหมูสับ ข้าวเปล่า

สำหรับรสชาติอาหารที่น่าค่อนข้างปานกลาง รสชาติปานกลาง ที่น่าแปลกคือ ผัดเห็ดหอมราคากลับแพงกว่าต้มยำปลางคัง

เนื่องจากในช่วงที่เราไปเป็นช่วงเที่ยงคนน้อย ไม่ใช่ช่วงเวลาที่คนจะมากินข้าวในช่วงเย็นดังนั้น พนักงานก็จะไม่ค่อยให้การบริการ พวกเติมน้ำ คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ จะไม่มี แต่พอเราขอสั่งอาหารเพิ่ม หรือขอพริกน้ำปลาเพิ่ม ก็ได้ตามที่ขอ จึงถือว่าบริการของร้านปานกลาง

เหมาะสำหรับแวะทานข้าวกลางวัน หรือเย็นในภูเรือ

พอกินข้าวเสร็จ เราตัดสินใจว่าจะเข้าอุทยานแห่งชาติภูเรือต่อ โดยแวะซื้อเสบียง 7-11 ก่อนเข้า เพราะคาดหวังว่า ถ้าที่พักเต้นท์ในภูเรือโอเค พวกเราก็พร้อมจะพักเต้นท์ในภูเรือ

อุทยานแห่งชาติภูเรือ

เราตัดสินใจขับรถเข้าไปยังอุทยานแห่งชาติภูเรือ โดยเสียค่าใช้จ่ายเข้าอุทยาน แบบสแกนจ่ายได้ แต่ที่น่าแปลกคือเป็นชื่อบุคคล ไม่ใช่ชื่ออุทยาน

ไม่คิดมาก ขับไปจุดแรกที่ทำการอุทยาน เพื่อแวะพัก จากนั้นก็ตัดสินใจว่าจะขึ้นไปดูที่กางเต็นท์สวนสนด้านบนก่อน ถ้าโอเคก็จะตั้งเต้นท์นอนที่จุดนั้น แต่ปรากฎว่าพอไปถึงจริง เงียบมาก จนพวกเราไม่กล้าพัก เลยได้แต่ถ่ายรูปและขับรถออกมา

ทางผ่านขาลง เราได้แวะถ่ายรูปลานจอดรถ สำหรับคนที่จะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เข้าใจว่า ตอนรุ่งสาง บริเวณนี้น่าจะคีกคักพอสมควร แต่ในช่วงที่เราไปเป็นช่วงบ่ายแล้ว เลยคนน้อย แต่ยังสังเกตว่ามีร้านอาหารขายอยู่บ้าง

ที่จุดจอดรถนี้ น่าจะเป็นจุดที่คนนำรถมาจอดเพื่อขึ้นรถต่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เราขับรถผ่านจุดนั้นลงมา จนถึงลานหินเต่า และจุดชมวิวต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้แวะ

ตลอดเส้นทาง พบกว่าถนนบนอุทยานพอขับได้ แต่ถือว่าผุพังไปบ้างเพราะขาดงบประมาณการซ่อมแซม ทำให้คิดถึงตอนไปอุทยานแห่งชาติภูแสลงหลวง แต่ถือได้ว่า ตรงนี้ดีกว่านิดหน่อย

ขับรถลงมาจนถึงที่ทำการอุทยาน ด้านล่าง แวะถ่ายรูป และสมุดสะสมตราประทับอุทยานแห่งชาติในราคาเล่มละ 100 บาท ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของการล่าลายประทับและลายเซ็นต์ตามอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ

ณ จุด ๆ นี้ เราสังเกตเห็นรถพยาบาลจอดอยู่ เตรียมความพร้อม ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ มีอัธยาศัยไมตรีที่ดี เราถามว่า ตอนนี้ภูเรือหนาวหรือยัง ได้รับคำตอบว่า ตอนเช้า ๆ เริ่มหนาวแล้ว และเสียดาวที่วันนี้หัวหน้าไม่อยู่ไปราชการ ไม่เช่นนั้น น่าจะได้ลายเซ็นต์หัวหน้าในสมุดตราประทับด้วย

เราหยุดยืนถ่ายรูปอยู่ตรงนี้สักพัก หน้าเสาธงชาติ ซึ่งลดธงลงครึ่งเสา เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับการสวรรคตของพระพันปีฯ

จากนั้นก็ตัดสินใจกับเพื่อนว่าจะออกจากอุทยานแล้วเพื่อนอาษาว่าจะขับรถยิงยาวไปอำเภอด่านซ้าย เพื่อสักการะพระธาตุศรีสองรัก ประจำจ.เลย ซึ่งถือว่าไกลพอสมควร ต้องขอขอบคุณเพื่อนที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะการขับรถไปที่พระธาตุศรีสองรัก จากอุทยานแห่งชาติภูเรือก็คือว่าไกล และใช้เวลาพอสมควร

เรายิงรถยาวจากอ.ภูเรือมาจนถึง พระธาตุศรีสองรัก ตาม GPS มา เลยได้เข้าอีกทางหนึ่งที่เป็นเนินสูง ๆ ก่อนขับต่อลงไปด้านล่าง

จอดรถแล้ว ยังต้องเดินอีกไกล แต่เราเห็นพระธาตุสวยสง่าอยู่แต่ไกล

ถึงใกล้พระธาตุ ที่นี่จะต้องถอดรองเท้า แล้วเดินขึ้นไป แต่ไม่รู้สึกเจ็บเท้าเลย เพราะทางขึ้นปูด้วยหญ้าเทียม และด้านบนพื้นก็สะอาดมาก เรียกได้ว่าที่นี่เป็นต้นแบบ และเราเห็นว่าก็ดีนะ ที่ให้ถอดรองเท้า ก่อนขึ้นพระธาตุ เพราะถ้าดูแลพื้นที่ดี ๆ แล้ว การถอดรองเท้าเดินก็เป็นการแสดงความเคารพต่อองค์พระธาตุ ส่วนตัวเราเอง ก็รู้สึกได้ว่า เปลี่ยนบรรยากาศดี

ที่พระธาตุศรีสองรัก ที่นี่คนมาเที่ยวค่อนข้างน้อย เราเข้ากราบสักการะ สวดมนต์หน้าพระธาตุด้านหน้า จากนั้นก็ชวนเพื่อนว่าจะเดินเวียนรอบพระธาตุเสียหน่อย

ตอนแรก เราเลือกที่จะเวียนแบบทักษิณา คือเวียนขวา แบบเวียนเทียนทั่วไป แต่เห็นว่ามีป้ายชี้ลูกศร ให้เวียนซ้าย เขียนว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของที่นี่ ก็เลยทำตาม

สำหรับผู้ชายสามารถเดินเวียน โดยเข้าไปในพระธาตุได้ ส่วนผู้หญิงต้องเวียนโดยเดินด้านนอก

ระหว่างเดินเวียนเทียนก็สังเกตได้ถึงความสวยงามของพระธาตุ และแผ่นจารึกประวัติของธาตุฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์มิตรภาพระหว่างไทย ลาว ในอดีต ที่ช่วยกันต่อสู้กับพม่า ในสมัยโบราณ

สิ่งที่สำคัญที่เป็นข้อห้ามคือ พระธาตุท่านเป็นตัวแทนแห่งสันติภาพ และมิตรภาพ ท่านจึงไม่ชอบสงคราม และสีแดง ซึ่งหมายถึงเลือก ดังนั้นควรสำรวจตัวเองไม่ให้ใส่สีแดงในวันที่เข้าไปไหว้พระธาตุ

เราเดินเวียนรอบพระธาตุอยู่สามรอบ และถ่ายรูป บรรยากาศสงบเงียบ เหมาะแก่การเดินจงกรม เสียดายที่มีเสียงวิทยุหรือทีวีของคนที่ดูแลที่นั่นเปิดดังไปหน่อย จนได้ยินมาบ้าง

การที่ได้เดินจงกรม เท้าเปล่า ใกล้พระธาตุนี้ ให้ความรู้สึกสงบเงียบดี เหมาะแก่คนที่ปฏิบัติธรรมที่ได้ลองมาเดินจงกรมที่พระธาตุศรีสองรักเป็นอย่างมา

ไหว้พระธาตุเสร็จแล้ว ก่อนเดินลงมา เราก็แวะถ่ายรูปกับโค้งประตูทางเข้า ที่เขียนว่า พระธาตุศรีสองรัก ก่อนขับรถออก

ทีนี้ ได้ปรึกษากับเพื่อนที่มาด้วยกันว่า จะยิงยาวกลับเข้าไปในตัวอำเภอเมืองดีหรือไม่ แต่ก่อนไปถ้าแวะวัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง ทัน ก็จะยิงยาวกลับอ.เมืองกันเลย

เราจึงขับรถจากพระธาตุศรีสองรัก ไปยังวัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง ซึ่งเมื่อกล่าวถึงวัดนี้แล้ว เราก็มักจะคิดถึงสมเด็จย่า คือพระมารดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 9

เราขับรถยิงยาวเข้าไปจอดบนภูเขา จนถึงที่จอดรถที่แรก ซึ่งในตอนแรกคิดว่า จะขับรถขึ้นไปต่อไม่ได้ เลยจอดตรงนี้ แต่ภายหลังจึงมาทราบว่า ยังสามารถขับรถขึ้นไปจอดได้อีกนิดหน่อย

พอลงจากรถ ก็มีคนขายล็อตเตอรี่มาถามว่าสนใจซ์้อล้อตเตอรี่ไหม เราจึงบอกว่า ขอขึ้นไปไหว้พระก่อน

พอเดินขึ้นไปถึง จะมีที่ให้ถอดรองเท้า ก่อนเดินเข้าไป ที่วัดนี้วิวสวยงาม เห็นเมืองภูเรือได้อย่างชัดเจน

ศาลาไม้ทั้งหลัง เข้าไปจะเป็นพระไภสัชคุรุ หรือพระกริ่งเป็นประธานในโบสถ์ ด้านหลังของโบสถ์มีรูปพระกรรมฐานผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่หลายองค์ สวยงามมาก

แต่เนื่องจากเวลาเราค่อนข้างจำกัด จึงไม่ได้ดูอย่างละเอียด

จากศาลาไม้ เราเดินไปด้านข้าง ๆ ซึ่งจะมีศาลาที่มีพระพุทธรูปเป็นประธานของแต่ละศาลา ซึ่งศาลาที่เราเข้าไปที่แรก เป็นพระนอน อีกศาลาที่เข้าไปเป็นพระปางชนะมาร สไตล์เหมือนที่เราเห็นที่สุโขทัย จากนั้นเราก็ไปสำรวจต่อด้านหลังของศาลาไม้หลังใหญ่ จึงเห็นว่ามีรูปของสมเด็จย่าอยู่ จึงได้ไปถ่ายรูปไว้

ใครคิดถึงหรือเกิดทันสมัยสมเด็จย่า การมาที่วัดนี้ ก็ทำให้เราได้ย้อนรำลึกถึงท่าน ส่วนข้าง ๆ กัน เป็นรูปสมัยร.9 ท่านยังทรงผนวชอยู่

จากบริเวณศาลาไม้หลังใหญ่เราเดินต่อไปยังด้านหลัง ที่ทำเป็นถ้ำ เดินไปฝั่งหนึ่งเห็นเป็นก้อนหินที่ทำคล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวน เห็นพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ๋ ซึ่งทั้งหมดนี้ เราเดินไปด้วยเท้าเปล่า ทั้ง ๆ ที่บริเวณนี้สามารถเข้ามาจอดรถ และเดินไปได้

อีกศาลาหนึ่งเป็นศาลารูปภาพของพระอรหันต์สายหลวงปู่มั่น ที่บางองค์เรารู้จักบางองค์ก็ต้องไปทำการบ้านเพิ่ม

ที่โซนด้านนี้ สิ่งที่เราประทับใจนอกจากศาลาที่มีรูปพระอรหันต์แล้ว ก็คือการได้ถ่ายรูปกับพระสังข์กระจายที่เป็นหินและไม้ หลาย ๆ องค์ที่วางอยู่ด้วยกัน

สำรวจวัดแบบเร่งรีบ แล้วเดินย้อนกลับมาที่ศาลาใหญ่ บริเวณด้านหน้าที่เห็นวิวเมืองอีกครั้ง ถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว จึงรีบกลับมาที่รถ แต่ก็ไม่ได้ซื้อล็อตเตอรี่ พ่อค้า แม่ค้าแต่อย่างใด เพราะตอนนั้นเย็นแล้ว แถมเหมือนว่าจะมีพายุมา พ่อค้าแม่ค้าจึงเตรียมตัวกลับบ้านเหมือนกัน

เราตกลงกับเพื่อนว่า ตัดสินใจกลับไปนอนที่โรงแรมฮ๊อบอิน ที่อ.เมืองเลย ซึ่งต้องใช้เวลาขับรถอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องนี้ต้องยกความดีให้กับเพื่อนที่มาด้วย ขับรถฝ่าพายุฝนที่กำลังเข้ามา พัดใบไม้ปลิวว่อน ลมแรง แถมต้องขับท่ามกลางภูมิประเทศโค้งไปโค้งมา

เราสังเกตว่าเพื่อนจับพวงมาลัย หมุนไปหมุนมาเหมือนกับเล่นเกมขับรถ แต่นี่คือของจริง!แต่เพื่อนคนนี้ฝีมือขับรถเก่งอยู่แล้ว เราถามเพื่อนว่า เท่าที่ขับมา ตรงไหนน่ากลัว หรือน่าตื่นเต้นมากที่สุด เพื่อนยังตอบว่า น่าจะเป็นภูทับเบิก เพราะขับขึ้นที หลังติดเบาะ ขับลงที มีเสียงยางเบรคเอี๊ยด ๆ ตลอด

ส่วนที่เราเตือนเรื่องถนนเชียงคาน ท่าลี่ ภูเรือ 2399 ที่น่ากลัวนั้น เพื่อนบอกว่าเฉย ๆ

ส่วนตัวเราก็มองว่า ทางขับจากภูเรือกลับอ.เมือง ก็น่าจะโค้งมากกว่า น่ากลัวกว่าเส้นทาง 2399 ซึ่งคิดว่า น่าจะเป็นคำร่ำลือของชาวมอเตอร์ไซค์เสียมากกว่า

โดยทางภูเรือ น่าจะคล้ายกับทางเส้นเพชรบูรณ์ ที่โค้งไปมา แต่เพื่อนบอกว่า เส้นทางภูเรือโค้งกว่า

เพื่อนเราขับรถฝ่าพายุฝน และโค้งของภูเรือ โดยไม่ได้แวะซื้อของใด ๆ เพราะมีพายุ ไปจนถึงอ.เมือง ในระหว่างนั่งรถ เราก็ทำการจองห้องพักฮ๊อปอินไปด้วย พอถึงก็เข้าไปเช็คอินได้ทันที

เราขึ้นเอาของเล็กน้อยขึ้นไปบนห้องชั้น 4 เหมือนเดิม แต่เป็นห้องตรงข้ามกับห้องที่เราเคยอยู่วันแรก

จากนั้นก็ขับรถไปกินเอ็มเค ต่อที่บิ๊กซี เพราะคิดอะไรไม่ออก ตอนแรกกะจะไปกินชาบู หรือหมูกะทะใกล้ ๆ แต่พอเห็นว่าฝนตก เลยคิดว่าไปหลบฝนในบิ๊กซี แล้วกินอาหารที่เราคุ้นเคยจะดีกว่า

กินเอ็มเค ค่ำคืนนี้ เราไม่ได้กินบุฟเฟต์ แต่เลือกสั่งอาหารธรรมดา และขอชาร้อนจากพนักงาน เพราะฝนตกอากาศเย็น

พอกินเสร็จพร้อมจ่ายเงิน ก็ขับรถกลับที่พัก และแวะขอยืมไดร์เป่าผม เพราะต้องสระผมก่อนนอน เพราะไปตากฝนมา รอบนี้ที่โรงแรมเหลือไดร์เป่าผมแล้ว คาดว่าเป็นเพราะเป็นคืนวันจันทร์ คนเข้าพักไม่เยอะ

คืนนี้พักผ่อนนอนหลับดี เตรียมท่องเที่ยววันสุดท้าย สำหรับทริปนี้

11 พฤศจิกายน 2568

วันสุดท้ายสำหรับการเดินทางในทริป จ.เลยในครั้งนี้ วันนี้เราค่อนข้างตื่นสาย ประมาณ 9-10 โมงถึงได้ขยับตัว วันนี้ตื่นมาด้วยการกินส้มมงคลที่ได้มาจากการทำบุญพิธีขอขมากรรมในวันแรก ส้มยังสดใหม่ สื่อให้เห็นว่าทางเจ้าหน้าที่คัดสรรส้มเพื่อเข้าพิธีมาอย่างดี

นอกจากนี้เรายังมีขนมปังที่ซื้อเตรียมไว้สำหรับขึ้นภูเรือ และเลย์ที่ยังเหลือพอประทังกินรองท้องไปก่อน พร้อมกับไปกดช็อคโกแล็ตร้อนที่ทางโรงแรมฮ็อปอินเตรียมไว้บริการลูกค้าฟรีถึง 11 โมงเช้า ช็อคโกแลตร้อนยังอร่อยเหมือนเดิม

ในตอนแรกเราปรึกษาเพื่อนว่าจะรอออกไปทีเดียวพร้อมเช็คเอ้าท์ตอนบ่ายสองดีไหม แต่เพื่อนบอกว่าให้ไปเที่ยวให้เสร็จเสียก่อน แล้วกลับมาเปลี่ยนชุดอาบน้ำ

เช้านี้ เราจึงรีบอาบน้ำรอบแรก แล้วขับรถไปวัดถ้ำผาปู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นจุดหมายแรกของการท่องเที่ยว ตามแผนที่วางไว้ แต่เนื่องจากฝนตก ในวันแรก และต้องการรีบไปงาน เลยไม่ได้ไป แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะวันนี้อากาศแจ่มใส ขับรถไปจอดที่วัด ตอนแรกก็เริ่มต้นไม่ถูกว่า จะเดินไปทางไหนดี พอดีเพื่อนไปถาม รถกระบะที่จอดอยู่ด้านหน้า กำลังเตรียมอาหารหมา ให้อาหารหมาในวัดอยู่ พี่เขาเลยแนะนำว่าจะเริ่มตรงไกนก่อนก็ได้ ด้านหนึ่งมีถ้ำที่มีน้ำศักดิ์สิทธิิ์ ขึ้นไปบนผาก็จะมีกุฏิของหลวงปู่คำดี เดินเลยไปอีกหน่อยก็จะเป็นเจดีย์ ที่มีรูปของหลวงปู่คำดี แล้วพี่เขาก็ตามขึ้นมาว่า หรือจะไปดูค่าง

ซึ่งเราก็เลยรีบตอบก่อนเลยว่า อยากไปดูค่าง ซึ่งเราก็ถามพี่เขาว่า สายป่านนี้แล้วจะยังได้เห็นอีกหรือ พี่เขาบอกว่า ก็ผมเป็นคนเอาอาหารมาให้พวกมันเอง มันเห็นผม มันก็ต้องมาสิ ว่าแล้ว พี่เขาก็หยิบกล้วย กระสอบใหญ่ ๆ ยื่นให้เรา พร้อมชี้ทาง และเดินมาด้วย พามาให้อาหารค่าง

พี่เขาเล่าให้ฟังว่า ค่างพวกนี้ บางคนมาจากกรุงเทพฯ มานั่งรอเป็นวัน ๆ แต่ก็ยังไม่ได้เห็น เราก็บอกว่า ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าจะเห็นใกล้ ๆ แบบนี้เหมือนกัน เพราะพวกเรามาสายแล้ว เพราะตามที่อ่านมา ค่างจะลงมาตอนเช้า กับตอนเย็น

นอกจากค่างจ่าฝูง ที่ไม่กลัวคน ลงมากล้วยจากเราแล้ว ยังมีค่างแม่ลูกอ่อน ที่ลูกอ่อนมีขนเป็นสีทอง ซึ่งพี่เขาบอกว่า ใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน ขนจึงเปลี่ยนสี และค่างมักชอบกินกล้วยดิบมากกว่ากล้วยสุก เพราะมีผลต่อเรื่องของสุขภาพของค่างด้วย ดังนั้นเวลาเรายื่นกล้วยสุกให้ค่างไป มันมักจะอิดออดไม่ลงมากิน แต่สุดท้ายก็ลงมานะ แต่เทียบกับกินกล้วยสุกแล้ว มันน่าจะชอบกล้วยดิบมากกว่า

นอกจากค้างถิ่นแดนเหนือแล้ว ยังมีลิงตัวหนึ่งซึ่งไม่กลัวคนเลย ปีนต้นไม้มาค่อนข้างต่ำ และลงมาเดินที่พื้นดิน ซึ่งพี่เขาเล่าให้ฟังว่า มีคนเอาลิงมาปล่อย ส่วนเพื่อนเราบอกว่า ดีนะที่มันอยู่ร่วมกันได้ แต่พี่เขาก็ตอบว่า ก็กลัวว่ามันจะตีกันเหมือนกัน

นอกจากจะเอากล้วยพาเราไปเลี้ยงค่างแล้ว พี่เขายังช่วยถ่ายรูป และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ภายในวัดด้วย

ซึ่งตอนแรกเราก็บอกพี่เขาว่าเราน่าจะมีเวลาน้อย เพราะต้องรีบไปขึ้นเครื่อง พี่เขาก็บอกว่าน่าจะใช้เวลาไม่นาน จะเดินไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ กุฎิหลวงพ่อด้านบนก็ได้ หรือเจดีย์ที่เก็บเครื่องอัฐบริขารของหลวงพ่อก็ได้ ซึ่งกลายเป็นว่าเราได้ไปทุกที่ แถมมีความประทับใจอย่างมาก

ก่อนที่จะแยกจากพี่ที่เจอกันที่วัด พี่เขายังมอบรูปถ่ายหลวงปู่คำดี ปภาโส ผู้สร้างวัดถ้ำผาปู่มาให้คณะเราคนละใบ เรานี่ยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วบอกย้ำอีกครั้งว่า พวกเราโชคดีมาก ๆ ที่ได้มาเจอพี่ กราบขอบพระคุณมาก และใจก็คิดถึงหลวงปู่ว่า คงเป็นบารมีของหลวงปู่ ที่ดลบันดาลให้เราได้เจอคนดี ได้ไปเที่ยวในวัดได้ทั่ว ๆ

สำหรับสถานที่ต่อมา ที่เราไปเที่ยวในวัดคือ บ่อน้ำมงคล ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่เกิดขึ้นจากหินย้อยภายในถ้ำ ซึ่งตอนแรกเพื่อนเราไม่กล้าเข้าไป แต่ก็คงเพราะบารมีของหลวงพ่ออีกแล้วที่ทำให้เรามีใจกล้าหาญ เดินเข้าไปในถ้ำที่ค่อนข้างมืด ไปจนถึงบ่อน้ำเล็ก ๆ ที่มีขันวางอยู่ และได้เห็นน้ำที่ออกจากหินย้อย มาเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งน้ำในถ้ำนี้ ได้นำไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีการสำคัญ ๆ ภายในบ้านเมืองอีกด้วย

เพื่อนเราสังเกตว่า ในถ้ำมีค้างคาวอยู่ด้วย หลังจากที่เราขออธิษฐานพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หัวแล้ว ก็รีบค่อย ๆ เดินออกมา ก่อนออกเห็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม จึงยกมือไหว้ แต่ทางที่อยู่ในถ้ำแม้ไม่ไกลมาก แต่ค่อนข้างมืด เลยทำให้อยู่ในถ้ำได้ไม่นาน นอกจากน้ำศักดิ์สิทธิ์ และรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ยังมีรูปปั้นพระพุทธรูปเป็นองค์ประธานในถ้ำอีกด้วย แต่เนื่องจากพื้นที่ในถ้ำค่อนข้างชื้นและมืด เราจึงได้แต่ยกมือไหว้แล้วเดินออกมา

ส่วนสถานที่ถัดไปคือ หลวงพ่อพระเศียร ซึ่งมีประวัติเล่าขานอยู่ จะนำไปเล่าตอนแนะนำวัดถ้ำผาปู่ โดยพวกเราไปยกมือไหว้ แต่ถ่ายรูปที่หลวงพ่อพระเศียร ที่น่าแปลก คือ สุนัข เจ้าขาว ที่ขวางทางเรา ตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาจอดในวัด เข้ามาอยากจะถ่ายรูปกับพวกเราด้วย เลยกลายเป็นว่า ได้ถ่ายรูปกับสุนัขตัวนี้ ในซีนตลอด

จากหลวงพ่อพระเศียร พวกเราตั้งใจเดินขึ้นไปยังกุฎิของหลวงพ่อ ซึ่งมีทางขึ้นไป โดยในระหว่างทาง มีพระพุทธบาทจำลอง ให้แวะพัก เมื่อขึ้นไปบนสุด จะเห็นกุฎิของหลวงพ่อ ที่อยู่ใกล้ ๆ กับถ้ำ ซึ่งตอนแรก ปิดประตูแต่ไม่ได้ล็อคกุญแจ เราได้แต่ยกมือพนมมืออธิษฐานกราบหลวงปู่คำดี อยู่ที่หน้ากุฎิ

เพื่อนเราชวนให้ดูป้ายโปสเตอร์ที่แขวนอยู่หน้ากุฎิท่าน ข้อความประมาณว่า ถึงแม้ให้ทานและรักษาศีลได้ดีแล้ว แต่ไม่ภาวนา ก็เหมือนคนที่มีอวัยวะสมบูรณ์ แต่เป็นคนตาบอด

จากนั้นเราก็สังเกตได้ว่า ที่ประตูเหล็กนั้น มีแค่เหล็กคล้องอยู่ สามารถนำออกและเปิดประตูเข้าไปได้ จึงให้เพื่อนลองเปิดและเข้าไปดู ทำให้ได้เข้าไปกราบด้านหน้ากุฎิ จากนั้นก็นั่งสงบจิตใจอยู่ด้านหน้ากุฎิท่าน พร้อมกับสังเกตว่าบริเวณแวดล้อมนั้น เต็มไปด้วยความสงบ เห็นด้านบนยังมีถ้ำธรรมชาติ บรรยากาศสงบเงียบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม

เมื่อได้กราบสักการะ องค์รูปยืนของหลวงปู่ที่กุฎิ และปิดประตูคล้องเหล็กคืนแล้ว พวกเราก็เดินลงจากนั่งร้านทางเดินมาเรื่อย ๆ และมาแวะหยุดพักที่รอยพระพุทธบาทจำลอง เพื่อไหว้สักการะ แล้วเดินลงมาต่อจนถึงด้านล่าง

จากนั้น พวกเราก็ตัดสินใจ เดินไปต่อที่ศาลาหลวงปู่เผย วิริโย เจ้าอาวาสรุ่นต่อมา และเดินต่อไปกราบรูปปั้นหลวงปู่อีกครั้งที่เจดีย์ ที่เก็บเครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่คำดี

ลักษณะการสร้างเป็นเจดีย์ เก็บเครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่ นี้ เราเคยเห็นที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ที่มีเจดีย์เก็บเครื่องอัฐบริขาร และอัฐิธาตุ พระอรหันต์สายหลวงปู่มั่น ของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท และนี่เป็นอีกครั้งที่รู้สึกได้ว่ามีเจดีย์คล้าย ๆ เพราะหลวงปู่คำดี ท่านก็สายหลวงปู่มั่น เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ตอนเข้าไปยังเจดีย์ ตอนแรกประตูก็ปิดอยู่ โดยมีการคล้องเหล็กอยู่เหมือนบนกุฏิ แต่เราพวกเราได้ถามพี่ผู้หญิงที่กวาดลานวัดอยู่แถว ๆ นั้นว่าเข้าไปได้หรือไม่ สรุปว่าเข้าไปได้ แต่ออกมาแล้วก็คล้องเหล็กปิดประตูไว้เหมือนเดิมจึงได้เข้าไปกราบรูปเหมือนหลวงปู่คำดี และได้ดูเครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่ แต่พวกเราก็ไม่ได้มีเวลาได้พิจารณาอย่างละเอียดเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา

ก่อนออกจากเจดีย์ เพื่อนเราชวนให้ดูห้องปฏิบัติวิปัสนา ซึ่งเป็นห้องเดี่ยว ซึ่งดูตอนแรกคล้ายห้องน้ำเพราะเล็กมาก แต่พอดูดี ๆ อีกครั้งจึงรู้ว่าคือห้องวิปัสสนาเดี่ยว สำหรับคนที่มีความศรัทธาและอยากปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะมีสถานที่ให้ นอกจากนี้ เมื่อออกมาแล้ว เรายังสังเกตว่ายังมีศาลาสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเล็ก ๆ หลายรูปแบบ ที่น่าจะมาขอพักเพื่อปฏิบัติธรรมได้

ตอนออกมาจากเจดีย์ ได้พบพี่ผู้หญิงที่กวาดลานวัดคนเดิม ตอนที่เราเอาเหล็กคล้องประตูคืน พี่เขาถามว่าพวกเรามาจากที่ไหนกัน เราจึงบอกว่า มาจากกรุงเทพฯ มารอบนี้ตั้งใจมาหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิม กับศาลเจ้าไต่เสี่ยฮุกโจ้ว จ.เลย แต่สถานที่หล่ออยู่ที่ บริเวณเตรียมสร้างโรงพยาบาลที่บ้านปากหมาก ซึ่งดูจากที่พี่เขาแสดงอาการมาแล้ว เขาน่าจะรู้ว่าบ้านปากหมากอยู่ที่ไหน แต่ยังไม่รู้ข่าวเลยว่าจะมีโรงพยาบาลสร้างที่นั่น ซึ่งไม่ไกลจากวัดถ้ำผาปู่เลย เมื่อบอกไปแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนประชาสัมพันธ์เรื่องการจะมีโรงพยาบาล เล็ก ๆ

จบจากการออกเจดีย์มา เราไม่มีเวลาดูต่อบริเวณอื่นของวัดแล้ว เพราะต้องรีบกลับไปอาบน้ำเก็บของเตรียมเช็คเอ้าท์ตอนบ่าย 2

ก่อนขับรถออกมา พอดีเจอพี่ที่เราเจอตอนเข้ามาวัดตอนแรก ที่พาเราเข้าไปดูค่าง ให้รูปหลวงปู่กับเรา กำลังจะขับรถกระบะออกไปเหมือนกัน จึงบีบแตร ทัก พี่เขาก็เปิดกระจกลงมา เราก็บอกลาและบอกกล่าวขอบคุณกันที่รถ และถือโอกาสกราบขอบคุณสำหรับการต้อนรับ และการพาไปดูค่าง และทุก ๆ สิ่งอย่าง ที่เรารู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้

จากวัดถ้ำผาปู่ เราขับรถกลับมาทาง อ.เมือง ตอนแรกว่าจะกลับโรงแรง แต่เกือบเที่ยงแล้ว พวกเรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย เราจึงหาข้อมูลว่าจะมีร้านอาหารเด็ดในอำเภอเมืองที่ไหนบ้าง ซึ่งเจอหลายร้าน แต่สุดท้ายไปลงตัวที่ร้านข้าวเปียกปากหมา ซึ่งไม่ได้ห่างจากที่พักเรามากนัก

โชคดีที่ไปถึงเราพอหาที่จอดรถได้ข้าง ๆ ตึก เนื่องจากที่ร้านไม่มีที่จอดรถ ต้องหาที่จอดรถเอาใกล้ ๆ กับตึกร้าน

แม้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่ร้านข้าวเปียกปากหมา ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน แต่น่าเสียดายที่ข้าวเปียก หมดแล้ว เหลือแต่วุ้นเส้น เราจึงเลือกสั่งวุ้นเส้น ใส่ไข่พิเศษมาคนละชาม ที่โต๊ะมีพริกให้เติม ซึ่งมีคำเตือนว่า เผ็ดมาก เราได้ลองใส่ไปหน่อยนึงก็เผิดจริงตามคำเตือน แต่อาหารก็อร่อยมาก รสชาติดี สมเป็นร้านอาหารแนะนำ แต่น่าเสียดายที่รับเงินสด ไม่มีสแกนจ่าย แต่ราคาอาหารก็ไม่แพงมาก

เพื่อนเราชอบมาก บอกว่าอร่อย จนต้องสั่งมาเพิ่มอีกชาม แล้วบอกว่า ถ้าไปปากช่อง ต้องไปกินร้านข้าวหมูแดงสุพรรณ มาเมืองเลย ก็น่าจะต้องมาลองร้านข้าวเปียกปากหมานี้ด้วย

สำหรับเมนูข้าวเปียก จริง ๆ แล้วก็คือก๋วยจั๊บญวนนั่นแหล่ะ เราก็ได้สั่งมาตั้งแต่เมืองเชียงคานแล้ว แต่ที่ร้านนี้อร่อยกว่ามาก สมเป็นร้านแนะนำ

กินข้าวสาย ๆ เกือบเที่ยงเสร็จ ก็กลับไปเก็บของที่โรงแรม พร้อมกับอาบน้ำ และเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก ตอนบ่ายสอง ดังนั้นเราจึงจะเหลือเวลาที่ จ.เลยอีกประมาณ สองชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนเตรียมตัวขับรถกลับไปที่สนามบินเลย เพื่อกลับกรุงเทพ

เวลาที่เหลือนี้ เราเลือกไปที่ วัดเลยหลง ซึ่งเป็นวัดหลวง และวัดหลวงปู่ท่อน ซึ่งการไปวัดทั้งสองวัดนี้ เรียกได้ว่า เป็นการเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ ถ่ายรูปและทำเวลามาก ๆ ไม่ได้ไปไหว้ และเดินท่องเที่ยวอย่างจริงจัง แต่สังเกตได้ว่า วัดเลยหลง เป็นวัดที่มีศูนย์ของมหาจุฬาลงกรณ์ สำหรับพระสงฆ์ที่จะมาเรียน บรรยากาศเงียบ ๆ ส่วนที่วัดหลวงปู่ท่อน มีเจดีย์ แล้วพวกเราก็ได้แต่ยกมือไหว้อยู่ด้านหน้า แล้วต้องตีรถยิงยาวกลับมายังตัวเมือง

เนื่องจากตั้งใจว่า จะมาไหว้ลา กราบอากง ที่ศาลไต่เสี่ยฮุกโจ้วอีกครั้ง ซึ่งมาครั้งนี้ นอกจากได้จุดธูปกราบ และมองรูปอากงทุกองค์แล้ว เพื่อนเรายังได้สอบถามประวัติของแต่ละองค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ในศาลก็อธิบายเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้รู้ข่าวสารการปรับปรุงศาล ว่าจะมี 4 ชั้น ด้านบน 3 ชั้นและจะมีชั้นใต้ดิน คาดว่าจะมีพิธีเปิดปีหน้า ซึ่งใจเราก็อยากมามาก นอกจากนี้ ปีหน้า โรงพยาบาล ในส่วนของแพทย์จีน ก็น่าจะได้สร้างก่อน

ก่อนออกจากศาลมา ได้เข้าไปดูวัตถุมงคล ตอนแรกอยากเช่าพัดของท่านจี้กง เพราะคิดถึงท่านตอนที่ไปวัดจิ้งฉือ ที่หังโจว แต่พัดที่เล็งไว้ก็หมด จึงออกมาโดยไม่ได้เช่าวัตถุมงคลเพิ่ม ก่อนจากลาศาล ได้พนมมือ ไหว้รูปปั้นอากงหน้าศาลว่า หากมีโอกาส ก็อยากกลับมาเมืองเลย และได้กลับมาศาลอีก ขออากงให้ช่วยให้กลับไปแล้ว มีเงินเยอะ ๆ จะได้มาอีก และตะโกนบอกอากงว่ากลับแล้วนะ

ถือเป็นการไปลามาไหว้ ตามมารยาทผู้น้อย ที่มีต่อผู้ใหญ่ และประสบการณ์ครั้งแรกของเราที่ได้ร่วมกิจกรรมกับสมาคมพุทธเมตตาเทวาสงเคราะห์ จ.เลย ซึ่งประทับใจมาก

จากที่ศาลฯ ที่พวกเราคิดว่าจะมีเวลา แต่กลับไปใช้เวลาที่ศาลค่อนข้างนานเหมือนกัน พอออกจากศาลมาก็ได้เวลาต้องเร่งขับรถกลับไปที่สนามบิน โดยไม่ได้มีโอกาสแวะโลตัส ตามแผน

ก่อนถึงสนามบิน เราแวะเติมน้ำมันจนเต็มถัง ได้เลขสวย 888.80 บาท ใช้ส่วนลด 80 บาท อันเป็นเลขมงคลพอดี

กลับถึงสนามบิน คืนรถด้วยความรวดเร็ว แต่พนักงานลืมออกใบกำกับภาษีที่เราขอไว้ตั้งแต่วันแรก แต่พนักงานก็รับปากว่าจะส่งไปรษณีย์มาให้ที่บ้าน ซึ่งก็ได้รับเรียบร้อยรวดเร็ว การคืนรถ เรียบง่ายมาก จอดรถไว้หน้าบูธ ตอนที่เราขับออกมา แล้วก็คืนกุญแจให้เจ้าหน้าที่ เช็คสัมภาระให้เรียบร้อย และก็เดินเข้าสนามบินได้เลย

สำหรับสนามบินเลยนั้น เป็นสนามบินเล็ก ๆ ที่บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลย มีสนามบิน โดยเที่ยวบินที่มาลงสนามบินนี้ ก็มีแต่แอร์เอเชียเท่านั้น

เมื่อเข้าไปแล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการขอ boarding pass เนื่องจากไม่มีกระเป๋าโหลด จึงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ขากลับนี้เราได้เชิญองค์เจ้าแม่กวนอิมที่เช่าจากในงานหล่อพระกลับไปด้วย ซึ่งก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเชิญท่านขึ้นเครื่องและสแกนตรวจเข้าเครื่องแต่อย่างใด

ตอนรอขึ้นเครื่องสายตาเพิ่งไปสังเกตแผนที่จ.เลย สถานที่ท่องเที่ยวและสินค้าเด่นประจำท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังเพิ่งรู้ว่าคำขวัญของจ.เลยคืออะไร ดังนี้

เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู ถิ่นที่อยู่อริยสงฆ์ มั่นคงความสะอาด

ที่เราติดใจว่าจริง คือถิ่นที่อยู่อริยสงฆ์ เพราะที่มาคราวนี้ ก็ได้สัมผัสบารมีความเมตตาของหลวงปู่คำดี แห่งวัดถ้ำผาปู่ ทำให้เราได้เจอคนดี ๆ และประสบการณ์ดี นอกจากนี้ที่จ.เลย ยังมีพระดี อีกหลายองค์ หวังว่าจะได้มาอีก เพื่อค่อย ๆ ศึกษาประวัติของแต่ละองค์

ส่วนเมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม คงคิดถึง ภูเรือ เพราะเป็นสถานที่ ๆ พยากรณ์อากาศต้องกล่าวถึงอุณหภูมิทุกครั้ง เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว

นอกจากนี้ สินค้าที่โดดเด่นของ จ.เลย ในความคิดเราก็คือ ล็อตเตอรี่ เพราะเลยถือเป็นแหล่งกระจายล็อตเตอร์รี่ขนาดใหญ่ รวมไปถึง ผ้าห่มนวม ก็น่าจะนับเป็นสินค้าประจำจังหวัดได้ ด้วยความหนาวของจ.เลย

เมื่อเครื่องบินมาจอดเป็นเวลาโพล้เพล้ เมื่อถ่ายรูปเครื่องบิน กับพื้นหลังของภูเขา ก็ถือได้ว่าเป็นความทรงจำสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับที่งดงามมาก

บนเครื่องบิน เมื่อเครื่องขึ้นแล้ว เป็นช่วยเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกพอดี ถ่ายจากบนเครื่องลงมา วิวสวยงาม และอาจเป็นเพราะวันนี้ผู้โดยสารน้อย เราจึงเห็น สจ๊วตบนเครื่อง แวะมาถ่ายรูปที่ที่นั่งถัดไปด้านหน้าเราถึงสองครั้ง

เมื่อเรามองไปด้านล่าง เห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ในระหว่างทาง ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นบึงบอระเพ็ดหรืออะไร แต่มาคิดได้ตอนนี้ ทำให้คิดได้ว่า อาจจะเป็นพื้นที่น้ำท่วม ทางพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบนก็เป็นไปได้

นั่งอยู่บนเครื่องระยะเวลาบินจริง ๆ ประมาณ ครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ รวมเวลาขึ้นเครื่องลงเครื่องอีก ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็กลับถึงกรุงเทพฯ

จบการเดินทาง ทริปบุญ กรุงเทพฯ จังหวัดเลย 7-11 พฤศจิกายน 2568