บันทึกการเดินทาง จันทบุรี Day 2 – 1 พฤษภาคม 2565

จันทบุรี มีคำขวัญประจำจังหวัดว่า

น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้
พริกไทยพันธุ์ดี อัญมณีมากเหลือ
เสื่อจันทบูร สมบูรณ์ธรรมชาติ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
รวมญาติกู้ชาติที่จันทบุรี

เป้าหมายของเราวันนี้คือ ไป น้ำตกลือเลื่อง นั่นคือ น้ำตกพลิ้วนั่นเอง

เช้าวันที่ 2 นี้ ตื่นสาย เพราะเพลียจากการเดินทางจากวันก่อน ตื่นเช้ามา ก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว จึงหยิบขนมปังที่ซื้อเตรียมไว้เองมาเป็นอาหารเช้า เพราะที่โรงแรมไม่มีอาหารเช้าให้ แต่มีเครื่องกดกาแฟ ให้บริการ ซึ่งเราลองกื่มคาปูชิโน่ และช้คโกแลตร้อน จากเครื่อง ถือว่าอร่อยดี พอใช้ได้ กับการท่องเที่ยวแบบประหยัด ๆ

เมื่ออิ่มอาหารเช้าที่เตรียมไว้เองแล้ว จึงเริ่มออกเดินทาง เช้านี้ฝนตก สภาพอากาศไม่ค่อยดี ขับรถออกเที่ยวตัวเมืองจันทบุรี ถนนในเมืองถือว่าขับยากเพราะเป็นภูเขา มีรถมอเตอร์ไซค์เยอะ มีจุดที่เป็นทางแยกที่ต้องวัดใจหลายครั้ง อีกทั้งตามที่เล่าไปในตอนก่อนว่า เมืองนี้มีการทำล้อคที่จอดรถข้างทางซ้ายขวา ทำให้มีรถจอดเป็นระยะ ๆ

ก่อนจะเดินทางไปน้ำตกพลิ้ว เราได้ขับแวะไปวนที่อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลจันทบุรี ก่อน เพราะตอนแรกคิดว่ากลับจากน้ำตกพลิ้วน่าจะเย็นเกรงว่าจะไม่ได้เข้า พอขับรถไปวนดู ก็เห็นว่าเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้างแล้ว วนภายในอยู่ 1 รอบ เห็นโครงสร้างโบสถ์สวย มีพระแม่มารีอยู่ด้านหน้า พอวนรถเสร็จ ตัดสินใจเดินทางไปน้ำตกพลิ้วก่อน ค่อยกลับมาเที่ยวในเมือง ถ้าทัน

เดินทางไปน้ำตกพลิ้ว ตามแผนกะว่าจะหาร้านอาหาระหว่างทาง รับประทานเป็นข้าวเที่ยง ก่อนไปแต่ปรากฎว่า ร้านอาหารที่เล็งไว้ปิด โทรมาถามก่อนหน้าไม่มีคนรับ เลยตัดสินใจว่าจะเสี่ยงดวงดู ปรากฎว่าร้านปิดเงียบ เลยขับรถต่อไปที่น้ำตกพลิ้วเลย และได้ประสบการณ์จากรอบนี้ว่า จะไปร้านไหน ให้โทรไปเช็คก่อนไหมว่าร้านเปิด ถามรายละเอียดร้านเปิดปิด ที่จอดรถ วิธีการชำระเงินให้พร้อมก่อนไป และสังเกตได้ว่าถ้าร้านเซอร์วิสดี ๆ คนรับโทรศัพท์จะรับเร็วดีให้ข้อมูลดีมาก อย่างร้านจันทรโภชนา เมื่อวานก็เช่นกัน เพราะรับโทรศัพท์เร็ว ให้ข้อมูลดี เดินทางไปจึงไม่ผิดหวัง

เมื่อพลาดจากร้านอาหารที่เล็งไว้จึงตัดสินใจเดินทางต่อไปที่ น้ำตกพลิ้ว ตั้งใจว่าจะไปแวะกินข้าว ที่รัตนบุรี ทางเข้าน้ำตกพลิ้ว สถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ ตรงทางเข้าน้ำตกพลิ้วพอดี แต่ก่อนหน้านั้น เราจะแวะไปที่วัดวัดมังกรบุปผาราม (วัดเล่งฮัวยี่) วัดทำเลหางมังกร ก่อน

วัดมังกรบุปผาราม (เล่งฮั่วยี่)

เป็นหนึ่งเป้าหมายของการเดินทางท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้ คือการได้มาวัดทำเล หางมังกร สาขาของวัดเล่งเน่ยยี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ เราก็ได้ไปวัดท้องมังกรที่ จ.ฉะเชิงเทรามาแล้ว

สำหรับความรู้สึกที่ได้เข้าวัด รู้สึกเหมือนได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังวัดจีน เพราะวัดนี้มีโครงสร้างวัดคล้าย ๆ วัดจีนอื่น ๆ คือต้องผ่านวิหารท้าวจตุโลกบาล มีพระศรีอริยเมตรไตรย ด้ายหน้า อุ้ยท่อผ่อสัก อยู่ด้านหลัง เมื่อผ่านเข้าไป จะเป็นวิหารกลางไตรพุทธ แต่ด้านซ้ายและด้านขวาของที่นี่ จะแตกต่างจากวัดอื่น เพราะจะเป็นพระมัชชุศรีโพธิสัตว์ และ พระสกันตภัทรโพธิสัตว์แทน

เมื่อเดินเข้าไปอีกชั้น จะพบวิหาร 2 ชั้น ด้านล่างจะเป็นที่ประทับของไซฮึง ซาเสี่ยฮุก 西方三聖佛 ประกอบด้วยพระอมิตาภพุทธะ และพระอัครสาวกคือ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ และด้านบน จะเป็นตำหนักของเจ้าแม่กวนอิม

สภาพแวดล้อมในวัดโดยรวม สงบเงียบ มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะ ใครมาไหว้พระ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ก็ถือว่าเป็นสถานที่ ๆ เหมาะสม

สิ่งที่ประทับใจ นอกจากความสงบเงียบ การดูแลทำความสะอาดอย่างดีภายในวัดแล้ว พอดีได้อ่านประวัติความเป็นมาของวัดเล่งฮั่วยี่นี้ พบว่า กว่าจะสร้างเป็นวัดได้สวยงาม ขนาดนี้ไม่ง่ายเลย กว่าจะสร้างได้

เมื่อเดินในวัดมังกรบุปผาราม จนครบแล้ว เราจึงเดินทางต่อไปทานข้าวกลางวันต่อ

รัตนบุรี ทางเข้าน้ำตกพลิ้ว

จากถนนทางเข้าน้ำตกพลิ้ว เราจะเห็นรัตนบุรี น้ำตกพลิ้วอยู่แต่ไกล โดยในตอนที่ไปเป็นช่วงที่มีฝนตก ทำให้มีหมอกลง พอมองท้องฟ้าตัดกับหลังคาของรัตนบุรี น้ำตกพลิ้วแล้ว จะเห็นเป็นภูมิทัศน์เหมือนอยู่ทางภาคเหนือ

เราพยายามหาที่จอดรถ โดยวนไปจนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วอยู่ 1 รอบ ก็ยังหาที่จอดรถไม่ได้ จนวนมาหาที่จอดรถได้ที่หน้าร้านอาหารรัตนบุรี

เมื่อเข้าไปในร้านจะเห็นว่า มีที่นั่งเป็นซุ้ม ๆ ทั้งเป็นโต๊ะเดี่ยว และโต๊ะเป็นกลุ่ม สำหรับครอบครัว รวมไปถึง กลุ่มโต๊ะและเวที สำหรับงานเลี้ยง เมื่อเราเลือกที่นั่งได้ จึงเริ่มสั่งอาหาร โดยอาหารที่เราสั่งมี 3 อย่าง ได้แก่ ผัดผัก ต้มยำรวมมิตร และปลาสมุนไพร

ความประทับใจคือรสชาติของอาหารถือว่าใช้ได้ โดยเฉพาะเมนูปลาสมุนไพร ซึ่งให้เยอะ และรสชาติดี เสียดายที่เสริฟ์มาเป็นอย่างสุดท้าย ให้เยอะมาจนทานไม่หมด จนต้องเหลือทิ้งประมาณ 5 ชิ้น ซึ่งโดยปกติแล้วเราไม่ค่อยเหลืออาหารทิ้ง แต่เมนูนี้ ให้ชิ้นปลามาเยอะจริง ๆ ทานไม่หมด ถือเป็นเมนูที่คุ้มค่าและแนะนำ

ในระหว่างที่เรารับประทานอาหาร เห็นว่าสภาพอากาศยังมีฝนตกอยู่ตลอด และในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาบ่ายแล้ว เราจึงตัดสินใจไม่เข้าน้ำตกพลิ้วต่อ เพราะกลุ่มของเรานั้นทุกคนเคยไปน้ำตกพลิ้วมาแล้ว และเห็นว่าถ้าเดินเข้าป่าในช่วงฝนตก พื้นลื่น จะเป็นอันตราย จึงตัดสินใจขับรถกลับเข้าเมือง

อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลจันทบุรี

เมื่อขับรถกลับเข้ามาในตัวเมือง สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่เราพลาดไม่ได้คือ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลจันทบุรี ซึ่งเราได้ขับรถมาดูลาดเลาในช่วงเช้าแล้ว

พอมาอีกรอบ จึงรู้ว่ามีที่จอดรถของเอกชน เสียค่าจอดรถ 20 บาท ข้าง ๆ โบสถ์

เมื่อจอดรถแล้ว จึงเริ่มเดินเข้าโบสถ์ ซึ่งในตอนแรก เราเดินเข้าโบสถ์ตรงทางเข้าตรงกลาง ซึ่งเป็นทางออก เจ้าหน้าที่ของโบสถ์ จึงให้เดินไปทางพระแม่มารี ทางเข้าด้านหน้า

เมื่อเข้าถึงในโบสถ์แล้ว นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ ปีที่เราได้เข้าโบสถ์คริสต์ โดยทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า ที่นี่เป็นโบสถ์คริสต์ นิยายโรมัน คาทอลิก ซึ่งเพื่อนของเราที่พอมีความรู้อยู่บ้างอธิบายว่า นิกายนี้ จะเคารพพระแม่มารีด้วย แต่ถ้าเป็นนิยายโปรแตสแตนท์ จะเคร่งกว่า และเคารพเฉพาะพระเยชู

ในโบสถ์ ถือว่าสวยงามมาก มีเก้าอี้นั่ง ซึ่งเราสงสัยมากว่า ทำไมถึงเป็นรูปแบบที่นั่งแบบนี้ จึงสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า เป็นเก้าอี้ที่ใช้คุกเข่า และไว้กราบ และอายุของที่นั่งที่เราเห็นอยู่นี้ บางตัวมีอายุเป็นร้อยปีบ้าง แปดสิบปีบ้าง ส่วนแถวข้างหน้า 2 แถวแรก ระบุไว้ว่าสำหรับผู้รับศีลมหาสนิทแล้ว จึงสอบถามเจ้าหน้าที่ ระบุว่า เป็นผู้รับศีล ตั้งแต่เด็ก ๆ เจ้าตัวจะรู้เองว่าได้รับศีลแล้วหรือไม่

นอกจากนี้ เรายังได้เรียนรู้เรื่องศาสนาคริสต์และเรื่องโบสถ์แห่งนี้อีกหลาย ๆ เรื่องต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ ที่ยินดีคอยอธิบายและให้ความรู้ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นชาวพุทธก็ตาม

สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม เช่น โบสถ์นี้มีบาทหลวง 5 ท่าน รับภาระงานทุกอย่างของโบสถ์ ซึ่งถือว่ามีภาระหนักมาก และการจะเป็นบาทหลวงไม่ง่ายเลย เพราะต้องเป็นพรมจรรย์ เข้ารับการศึกษาอยู่ถึง 15 ปี ผ่านการสอบที่ไม่ใช่จะมีความรู้ทางศาสนาเท่านั้น แต่ต้องรู้เรื่องทั่วไปทุกเรื่อง เพราะบาทหลวงต้องสามารถให้คำปรึกษาศาสนิกชนที่เข้ามาในโบสถ์และขอคำปรึกษาได้

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้เล่าถึง ประวัติพระเยซู ได้เล่าถึงเหตุการณ์ The Last Supper มื้ออาหารมือสุดท้ายของพระเยซูก่อนถูกตรึงไม้กางเขน หลังจากพระเยซูตาย จึงได้ขึ้นสวรรค์ เป็นที่มาของพระเยูซูรูปด้านซ้ายมือของโบสถ์ โดยเจ้าหน้าที่อธิบายให้ฟังว่า เช่นเดียวกับศาสนาพุทธ ที่มีพระพุทธเจ้าหลายปาง พระเยซูในโบสถ์ก็เช่นเดียวกัน

เจ้าหน้าที่ยังเล่าอีกว่า โบสถ์นี้ มีอายุเป็นร้อยปี และสร้างที่เดิมมาเป็นครั้งที่ 3 หรือ 4 แล้ว ในช่วงสมัยสงครามก็ได้มีการนำหลังคาที่โดดเด่นลง เพื่อเลี่ยงการถูกทิ้งระเบิด แถมยังเอารูปเก่า ๆ มาแสดงให้ดูอีกด้วย

ส่วนน้องอีกคน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คอยอธิบาย เราได้ถามว่า ในโบสถ์มีจัดพิธีอะไรบ้างไหม น้องจึงถามว่าจะพูดถึงพิธีอะไร เราเลยตอบไปว่า พิธีแต่งงาน น้องจึงนำรายชื่อคู่รักที่จะจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์ให้ดู พอเห็นอยู่บ้าง 2-3 คู่ในระยะเวลาใกล้ ๆ นี้ โดยน้องยังอธิบายอีกว่า พิธีแต่งงานในโบสถ์ คู่รักต้องมี 1 คนที่เป็นคริสต์ ก่อนแต่งงานก็ต้องมีการสืบสอบถามก่อนว่าเคยแต่งงานมาแล้วหรือไม่ หรือหมดพันธะ คือหย่าหรือไม่ แล้วจึงจะแต่งงานใหม่ได้

นอกจากนี้ยังเห็นรายชื่องานศพอยู่บ้าง แต่เราไม่ได้ใส่นัก

ระหว่างพูดคุย พอดีตรงที่พูดคุยเห็นห้องเล็ก ๆ แปลก ๆ จึงได้รู้ว่า เป็นที่สารภาพบาป โดยบาทหลวงจะเป็นคนอยู่ในห้องส่วนผู้สารภาพบาป ยังอยู่ข้างนอก

ถือว่าได้เที่ยวในโบสถ์นี้ ได้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์อยู่มาก แนะนำว่าหากใครเข้าไปเที่ยวลองเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ดู จะได้ความรู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ดังที่เจ้าหน้าที่บอกไว้ว่า ป้ายคำแนะนำ เป็นไกด์ตาย แต่เจ้าหน้าที่ที่ยื่นอยู่นั้นถามได้ เพราะเป็นไกด์คนเป็น ๆ แต่สังเกตว่ามีคนถามเจ้าหน้าที่น้อย เข้ามาเพียงถ่ายรูปสวย ๆ และเดินออกไป

ก่อนเดินออกจากโบสถ์ เราใส่เงินทำบุญ ในตู้ และที่ทำบุญ เล็กน้อย ถือเป็นค่าบำรุงสถานที่ ทำบุญ และขอบคุณเจ้าหน้าที่อธิบาย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายเป็นคลิปไว้

จากโบสถ์ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลจันทบุรี เราได้เดินข้ามฝั่งแม่น้ำ ไปที่ ชุมชนริมน้ำจันทบูร

ชุมชนริมน้ำจันทบูร Chanthaboon Waterfront

พอเดินสะพานข้ามแม่น้ำมา สิ่งแรกที่เห็นคือร้านขายขนม จากนั้น เราเดินเลี้ยวขวา กะไปเดินไปให้ถึงและถ่ายรูปที่บ้านหลวงราชไมตรี เพราะเคยดูมาว่าเป็นบ้านเก่า ที่เปลี่ยนเป็น Hostel

ในระหว่างทางเดิน บรรยากาศเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีร้านค้าเปิดมากนัก แต่พอเดินไปเรื่อย ๆ เรากับเพื่อนก็คิดเหมือนกันว่ามีลักษณะคล้ายกับ หูทง ตรอกซอยเล็ก ๆ และมีบ้านเรือนเก่า ๆ ในเมืองปักกิ่ง ผสมผสานกับบ้านเมืองริมน้ำที่ซูโจว แต่ความคึกคักต่างกัน เพราะที่จีนค่อนข้างคึกคักกว่ามาก

พอเดินไปถึง บ้านหลวงราชไมตรี และเดินขึ้นไปไกลอีกนิดแล้วก็เดินย้อนกลับมาที่อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลจันทบุรี ระหว่างเห็นศาลของตั่วเล่าเอี๊ย จึงแวะเข้าไป ใจก็คิดว่าตัวเองคงมีวาสนากับตั่วเล่าเอี๊ยอยู่บ้าง เพราะไม่ได้ไปไหว้ท่านที่เสาชิงช้านาน ยังมีวาสนามาไหว้ที่จันทบุรี และใจก็หวังว่าจะได้ไปที่อู่ตังซาน เขาบู๊ตึงไปไหว้ท่านเสียที

กลับออกจากชุมชนริมน้ำจันทบูร เดินกลับมาทางอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลจันทบุรี แล้วขับรถกลับโรงแรม เสียดายที่ในตอนนั้นเย็นมากแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสไปไหว้ศาลพระเจ้าตากสิน หวังว่าจะมีโอกาสในครั้งหน้า

จบวัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *