บันทึกการเดินทาง ปากช่อง นครราชสีมา
การเดินทางนี้ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวแบบสั้น ผสมผสานกับการเดินทางไปทำธุระด้วย และเป็นการเดินทางที่ไม่รีบร้อน ไม่ค่อยมีแผนการณ์เรื่องการท่องเที่ยวเท่าไหร่ มุ่งเน้นไปทำภาระกิจมากกว่า
6 เมษายน 2568 เดินทางจากกรุงเทพมหานคร เพื่อไปวัดพระพุทธบาท สระบุรี เราเลือกใช้เส้นทางที่ไม่นิยม ไม่ใช่ถนนมิตรภาพ เพราะเป้าหมายคือการเดินทางไปวัดพระพุทธบาท
ถึงวัดพระพุทธบาทช่วงบ่าย ๆ หาที่จอดรถได้ไม่ยาก เราเข้าทางประตูที่มียักษ์ 2 ตน คือทศกัณฑ์ และสหัสเดชะ ว่ากันว่าคือยักษ์ตายาย เมื่อเข้าประตูแล้ว จะเจอวิหารคลังล่างก่อน แต่เราเดินผ่านไป เพื่อไปสักการะรอยพระพุทธบาทด้านบนก่อน
หากเข้าทางประตูวัดที่มียักษ์ จะไม่ได้ขึ้นบันไดนาค ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เราเข้าไปกราบรอยพระพุทธบาท ซึ่งเคยดูรายการ ๆ หนึ่งว่า ที่ในมณฑป ถือเป็นจุดรับพลังที่ดี อยากจะนั่งสมาธิ เงียบ ๆ สักพัก แต่ก็เจอคนพาเด็กมาทำเสียงดัง เพื่อทดสอบขันติ สุดท้ายก็เลยไม่ค่อยได้สมาธิเท่าไร
มาถึงสถานที่ประทับพระพุทธบาทแล้ว ทำให้คิดถึงครั้งก่อนที่เรามา แล้วเกิดฝนตก ทำให้เราอยู่ติดที่ในมณฑป จนได้ชื่นชมรอยพระพุทธบาทอย่างจุใจ
แต่มารอบนี้ ถือได้ว่ามีนักท่องเที่ยวมาน้อยกว่าเดิม เมื่อกราบรอยพระพุทธบาทแล้ว เราก็ออกมาด้านนอก มีบูชาธุปเทียน และสวดมนต์บูชาพระพุทธบาท พอดีได้ยินด้านหลังว่ามีคนถวายน้ำเปล่า น้ำปานะให้พระภิกษุแถวนั้น ก็รู้สึกอนุโมทนาบุญอยู่ในใจ ใกล้ ๆ กันเห็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม รู้สึกประหลาดใจนิด ๆ เพราะแปลกแตกต่างจากพระพุทธรูปใกล้ ๆ กัน
พอสักการะพระพุทธบาทจนพอใจแล้ว จึงเดินย้อนกลับไปทางด้านหลังเพื่อไปวิหารคลังล่าง
ความพิเศษของวิหารคลังล่างคือ สถานที่บูชาพาสปอร์ตสู่สวรรค์ ซึ่งครั้งก่อนเราเคยบูชาไปแล้ว ครั้งนี้จึงนำพาสปอร์ตมาประทับตรา
อ่านภาษาจีนที่ป้ายด้านหน้าว่าเหลยอินซื่อ 雷音寺 แล้ว คิดถึงวัดของพระยูไลในเรื่องไซอิ๋ว ที่พระถังซำจั๋งและเหล่าคณะต้องการเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎก ถึงแม้ว่าความตั้งใจของเราคือการนำเตี๊ยบมาลงตรา แต่อย่างไรก็ต้องสักการะพระพุทธรูปในวิหารก่อน
เมื่อเดินขึ้นด้านถึงมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็ทำให้คิดย้อนกลับไปเมื่อครั้งก่อนที่มาในช่วงฝนตก ทำให้อยู่ในมณฑป ได้กราบพระพุทธบาทได้อย่างจุใจ แต่มารอบนี้
ที่นี่ คือสถานที่รับเตี๊ยบหรือพาสปอร์ตสู่สวรรค์ตามความเชื่อที่ว่า
“เตี๊ยบ หรือพาสปอร์ตสู่สวรรค์” ตามความเชื่อของชาวจีนเชื่อกันว่า เตี๊ยบ ที่วัดพระพุทธบาทออกให้จะเป็นหนังสือแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ถ้าตายแล้วมีเตี๊ยบไปด้วยชีวิตหลังความตายจะดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ไร้มารร้ายมารบกวน และยังเชื่อว่าจะได้บุญสูงได้ทดแทนคุณบิดามารดาที่ดี ถ้าทำบุญซื้อเตี๊ยบ ให้ท่านเพื่อใช้เป็นใบเบิกทางไปสู่แดนสวรรค์
ดังนั้น ทั้งชาวจีนในไทยหรือต่างประเทศต่างก็ถือเป็นประเพณีที่ต้องเดินทางมาไหว้บูชาพระพุทธบาททุกปี พร้อมกับทำบุญขอรับ เตี๊ยบให้ตนเอง บุพการี หรือญาติสนิทมิตรสหาย และนำเตี๊ยบ มารับตราประทับต่ออายุด้วยทุกปี กล่าวกันว่า เตี๊ยบ หรือพาสปอร์ตที่ออกโดยวัดพระพุทธบาทขลังและศักดิ์สิทธิ์กว่าที่อื่นใดโลก ชาวจีนจากทุกมุมโลกหรือชาวต่างชาติที่นับถือศาสนาพุทธต่างหลั่งไหลมาที่นี่นับว่าเป็นหนึ่งเดียวในไทย
ตอนที่นำเตี๊ยบไปประทับตรา ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ว่า ปัจจุบันนี้มีคนเข้ามาทำบุญลดลง อาจเป็นเพราะสภาวะเศรษฐกิจ
ที่นี่เราได้เสี่ยงเสี่ยมซี เพื่อการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ซึ่งถือว่าแม่น โดยความสำคัญต้องขึ้นอยู่กับการตั้งคำถาม
นอกจากนี้ ในครั้งก่อน ๆ เรายังไม่เห็นไฉซิงเอี๊ย ที่วิหารนี้ แต่ครั้งนี้ เนื่องจากไม่ได้มาในช่วงเทศกาล ทำให้คนน้อยจึงมีเวลาได้กราบอธิษฐานจิตกับ ไฉซิงเอี๊ย ได้นานพอสมควร
ไฉซิงเอี๊ย ในวิหารนี้ มีความเก่าแก่ มีคนนำธนบัตรมาวางไว้เพื่อขอพรท่านเยอะ
มาไหว้พระแล้ว เมื่อได้ใบเซียมซี อย่าลืมเติมน้ำมันในตะเกียง เพื่อส่องแสงสว่างให้กับชีวิตด้วย
พอไหว้พระขอพรที่วิหารคลังล่างเสร็จ ก็ออกมา หาห้องน้ำเข้า ทางที่จอดรถ ห้องน้ำที่นี่มีหลายห้อง รองรับคนไปทำบุญ แต่ครั้งนี้สังเกตได้เลยว่า ลานจอดรถ เหลือที่จอดรถเยอะ แปลว่าคนมาทำบุญน้อยลงจริง ๆ จึงขอเชิญชวนคนให้มาทำบุญเยอะ ๆ เพราะสถานที่และความเข้มคลัง ที่ยังรู้สึกได้เหมือนเดิม
ออกจากวัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี เราเดินทางต่อไปยังอ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในตอนทางที่มาค่อนข้างอ้อม เพราะเรามีเป้าหมายมาสักการะพระพุทธบาท ใช้เวลานานหน่อยกว่าจะถึง
สำหรับที่พักที่เราจะพักในครั้งนี้ อยู่ไม่ไกลจาก สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ (เขาแคน) เมื่อถึงที่พักก็เกือบมืดแล้ว จึงรีบวางของ ก่อนไปทำธุระสำคัญที่เรามาในครั้งนี้ สรุปว่าฟ้ามืดพอดี เราเลยตั้งใจว่าจะไปใหม่ในวันรุ่งขึ้น
ขากลับ พวกเราก็คิดกันว่าจะกินข้าวที่ไหนดี จริง ๆ วันนี้ แถวสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ (เขาแคน) มีตลาดนัด แต่เพราะเราใช้รถยนต์จึงหาที่จอดยาก จึงขับกลับมาใกล้ที่พัก ตัดสินใจ แวะที่ ร้านอาหารแม่ไฝปลาเผา ก่อนกลับเข้าที่พัก พักผ่อน
-จบคืนที่ 1-
7 เมษายน 2568 วันนี้เราจะมีเวลา 1 วัน ในการทำธุรกิจ และท่องเที่ยว ใน อ.ปากช่อง เช้าตื่นขึ้นมา หลังจากเราไปทำธุระเสร็จแต่เช้าแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจว่าจะเดินทางต่อไปไหว้ย่าโมที่อ.เมืองโคราชกัน
ในระหว่างเดินทาง มีให้เลือก 2 ทาง คือ ขึ้นทางด่วน M6 ไป หรือเลือกไปทางเดิม คือทางที่ผ่านจุดชมวิวเขื่อนลำตะคอง แต่เนื่องจากเราจะไปแวะอ.สีคิ้วก่อน เลยเลือกทางไปลำตะคอง ซึ่งไหน ๆ ก็แวะผ่านแล้ว เราเลยกะว่าจะไปดูวิว ถ่ายรูปกับ ป้ายประตูสู่อีสาน เสียหน่อย ก่อนไปอ่านรีวิวใน google ไม่ค่อยดีนัก ว่าไว้ว่า หลังจากมีทางใหม่แล้ว ที่นี่ก็ขาดการดูแลรักษา ส่วนตัวเรา พอขับรถไปถึงเตรียมตัวลง ก็ปรากฎว่ามีฝูงสุนัข เตรียมแวะมาทักทายเป็นฝูง ดูท่าแล้วไม่ค่อยดี เลยได้แต่ถ่ายรูปประตูสู่อีสาน และไหว้พระอุบลบันดาลประทานพรอยู่แต่ไกล
จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปต่อ เลี้ยวไปทางอ.สีคิ้ว เพื่อไปทำธุระ จากนั้น ก็แวะกินข้าวใน Big C ซึ่งที่นี่มี MK Restaurant มาเปิดด้วย เราเลยเลือกกิน MK ซึ่งคิดแล้วก็ตลกเพราะเดินทางมาตั้งไกล แทนที่จะได้กินอาหารท้องถิ่นกลับเลือกกิน MK ซึ่งพวกเราคิดว่า ปลอดภัย และสะดวกสบายหากินง่ายไว้ก่อน
อำเภอสีคิ้ว สำหรับเราแล้วไม่ใหญ่มาก แต่ถ้ามี Lotus และ Big C ก็ถือว่าสะดวกและเจริญแล้ว
เดินทางไปยัง อ.เมือง เพื่อสักการะย่าโม พอถึงในเมืองแล้ว เราก็หาที่จอดรถได้ริมคลอง ใกล้กับอนุสาวรีย์ย่าโมพอดี
ก่อนไหว้สักการะย่าโม เราก็ต้องแวะหาที่เข้าห้องน้ำก่อน ซึ่งต้องชื่นชมคนคิดว่า แถวอนุสาวรีย์ ด้านล่าง มีห้องน้ำไว้คอยบริการแบบเสียเงินไม่กี่บาท อยู่ใกล้ ๆ ค่อนข้างสะดวก พวกเราซึ่งขับรถมาทางไกล ตอนแรกก็กังวลว่าจะหาห้องน้ำเข้าที่ไหนดี ในที่สุดก็ได้เข้าห้องน้ำที่ด้านล่าง ใกล้ ๆ อนุสาวรีย์ย่าโมนั่นเอง
พอทำธุระในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็มีใจขึ้นมาไหว้ย่าโม อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่า คนโคราช ให้การเคารพย่าโม กันมาก เพราะขนาดเราไปช่วงเวลาบ่าย ๆ แดดเปรี้ยง ๆ ก็ยังเห็นคนมาไหว้ไม่ขาดสาย
ตอนแรกดูรีวิวจากใน google ว่า องค์อนุสาวรีย์ ย่าโม จริง ๆ แล้วไม่ใหญ่มาก ซึ่งเราก็เห็นจริงตามนั้น แต่ขนาดไม่ได้เกี่ยวข้องกับความศรัทธาแต่อย่างใด
และอีกประเด็นคือ สีสไบ ของย่าโม ซึ่งเราได้ความรู้มาว่า สีสไบขอท่าน จะเปลี่ยนไปตาม วันเปิดงานย่าโม ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ที่ 23 มีนาคม 2568 ดังนั้น สไบของท่านจึงมี สีแดง-ทอง
นอกจากนี้ ทุกปี ที่โคราชก็จะมีการจัดงานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี ซึ่งในปี 2568 นี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มี.ค.- 3 เม.ย.68 รวม 12 วัน 12 คืน เพื่อเป็นการเทิดทูนวีรกรรมท้าวสุรนารีวีรสตรีไทย โดยวันที่เราไปงานได้หมดลงไปไม่นาน จึงเห็นป้ายงานอยู่บ้าง
พอสักการะย่าโมเสร็จ ก็แวะไป เข้าประตูชุมพล ซึ่งมีตำนานประตูชุมพล อยู่ว่า
เชื่อกันว่าหากลอดประตูนี้ 1 ครั้ง จะได้กลับมาโคราชอีก
หากลอดครบ 2 ครั้ง จะได้ทำงานหรือมาอยู่ที่โคราช
ถ้าใครลอดถึง 3 ครั้งจะได้คู่ครองเป็นคนโคราช
โดยคนมีคู่ห้ามลอดเกิน 3 ครั้ง เชื่อกันว่าคู่รักอาจจะได้เลิกรากัน
ทั้งนี้ วิธีการลอดประตูชุมพล ให้ยืนหันหลังให้อนุสาวรีย์ย่าโม แล้วลอดเข้าซุ้มประตูมาฝั่งเมืองเก่า
ซึ่งตอนที่เราไปลอดนั้น มีคนพื้นที่บอกว่า ลอดเสร็จแล้วให้มาเคาะประตู ด้วย
พอลอดประตูชุมพลแล้ว เราตั้งใจว่า ไหน ๆ อุตส่าห์มาเมืองโคราชทั้งที อยากไปไหว้ศาลหลักเมืองสักหน่อย แต่เพราะหาที่จอดรถไม่ได้ จึงเดินทางไปต่อที่วัดศาลาลอย ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สร้างโดยย่าโม หรือท้าวสุรนารี โดยที่นี่มีการสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และอนุสรณ์สถานเจดีย์บรรจุอัฐิท้าวสุรนารีขึ้นภายในวัด หากไม่ได้ไปที่อนุสาวรีย์ย่าโม ก็มาสักการะท่านได้ที่นี่ที่เดียว
นอกจากนี้ เรายังเห็นมี อนุสาวรีย์ พระยาปลัดทองคำ สามีอันเป็นที่รักของคุณย่าโม ที่นี่อีกด้วย
เมื่อถึงที่วัด เราได้เข้าไปในโบสถ์สักการะพระประธานซึ่งที่นี่ แปลก เนื่องจากมีพระประธานปูนปั้นสีขาว ปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปยืน ประทับ ณ ประตูเมืองสังกัสนคร พระนามว่า”พระพุทธประพัฒน์สุนทรธรรมพิศาล ศาลาลอยพิมาลวรสันติสุขมุนินทร์”
พอสักการะพระประธานแล้ว เราจึงได้ไปสักการะอนุสาวรีย์ย่าโม และอัฐิของท่านในวัดแห่งนี้ เรียกได้ว่าได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของย่าโมมากขึ้นที่นี่
ไหว้พระจนพอใจแล้ว เราจึงเดินทางกลับอ.ปากช่อง ซึ่งตอนแรกกะว่าจะแวะ เขายายเที่ยง ในตอนขากลับด้วย แต่ฝนตก เลยตัดสินใจกลับ
เย็นวันนี้ เราตัดสินใจสั่งอาหารออนไลน์มาส่งที่โรงแรม พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ก็พักผ่อน
– จบคืนที่ 2-
8 เมษายน 2568
วันนี้วันสุดท้ายของการเดินทาง เราตั้งใจว่าเราจะไปอารามจีน ปากช่อง เขาใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก
วาสนาของเรากับอารามจีน แห่งนี้ เริ่มต้นในวันประสูติพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เมื่อปีก่อนที่เราไปสักการะท่านที่ วัดพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์องค์ปฐม จ.นครปฐม โดยวันนั้นเปิดให้สักการะองค์พระกษิติครรภ์ ที่เชิญมาจากจีน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้การบรรยาย โดยเจ้าหน้าที่ได้กล่าวถึง อารามจีนที่ปากช่องแห่งนี้ ในตอนท้ายสุด แล้วบอกว่า เจอกันที่อารามจีนที่ปากช่อง
ซึ่งตอนนั้นในใจเราก็คิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะไป และได้โอนเงินไปช่วยทำบุญสร้างอารามแล้วครั้งหนึ่ง
ในครั้งนี้ มีโอกาสดี ได้แวะไปที่อารามจีนปากช่องเสียที ซึ่งระหว่างทางเดินทาง แม้ไม่ไกลจากที่พัก แต่ถนนหนทางก็ยังไม่ดีมากนัก แต่พอไปถึงแล้ว เงียบสงบดี มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 1 ท่าน
ซึ่งเจ้าหน้าที่ปล่อยให้เราถ่ายรูป ถ่ายคลิปอย่างเต็มที่ และเราได้ช่วยทำบุญหลังคาที่ยังสร้างไม่เสร็จ และทำบุญบรรจุพระพุทธรูป หลังองค์พระประธาน
โดยที่นี่เป็นแห่งเดียวที่มีพระโพธิสัตว์ ประจำปีนักษัตรปีเกิด แต่ละปีนักษัตร
หลังจากไหว้สักการะเสร็จแล้ว พวกเราก็พากันลงมาที่ ด้านล่าง เพื่อ Check out ออกจากที่พัก และไปทานข้าวเที่ยวที่ร้านข้าวหมูแดงสุพรรณ สาขา 2 จากนั้นจึงเดินทางต่อไปที่วัดเขาวันชัยนวรัตน์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน หลังจากไหว้พระเข้าวัดแล้ว จึงเดินทางกลับกรุงเทพ
ระหว่างทางกลับกรุงเทพ เราได้แวะซื้อของฝากที่ ไร่สุวรรณ ก่อนกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ